Fold Equity คืออะไร อยากบลัฟเก่งแบบโปรต้องรู้ให้ถึงกึ๋น
Fold Equity หรือ โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบ เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างง่ายแต่สำคัญต่อการเล่นมาก และการที่เราจะ Bluff ให้เก่งเราต้องเข้าใจมันได้ดีพอสมควร
Fold Equity คืออะไร
ทุกครั้งที่เรา Bet จะมีโอกาสอยู่แหละที่อีกฝ่ายจะยอมหมอบให้เรา ซึ่งถ้าอีกฝ่ายหมอบนั่นหมายความว่าเราชนะและได้เงินพอทนั้นไปโดยไม่สนว่าเราจะถือไพ่ดีหรือไม่
โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบให้กับ Bet เราตรงนี้แหละที่เรียกว่า Fold Equity ซึ่งจะเป็นวิธีที่ตรงกันข้ามกับ Showdown ที่ต้องอาศัยไพ่ที่ดีที่สุดเพื่อจะชนะพอทนั้น
และอย่างที่บอกไปแล้วว่าทุกครั้งที่เรา Bet เราจะได้โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบแถมมา ซึ่งมันเป็นเหมือนโอกาสชนะแบบพิเศษของเรา เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราจะ Bet ให้ลองคิดเป็นสมการง่ายๆแบบนี้
โอกาสชนะรวม (Total Equity) = โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบ (Fold Equity) + โอกาสชนะของไพ่เรา (Hand Equity)
แน่นอนว่าถ้าอีกฝ่ายหมอบให้เราตลอด เราจะไม่สามารถแพ้ได้เลยและจะมีโอกาสชนะถึง 100% หรือ ถ้าอีกฝ่าย Call ตาม เราก็ยังเหลือโอกาสชนะจากไพ่บนมือเราสำรองอยู่
จะหา Fold Equity เพิ่มอย่างไร
แน่นอนว่าเราจะต้อง Bet หรือ Raise ถ้าเราไม่ Bet หรือ Raise เราจะไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายหมอบได้เลย
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปฝืน Bet เพื่อพยายามให้อีกฝ่ายหมอบ มันจะขึ้นอยู่กับไพ่บนมือและการเล่นของเราด้วย โดย
- ยิ่งอีกฝ่ายมองเรา Loose เรายิ่งมี Fold Equity น้อย
- ยิ่งอีกฝ่ายมองเรา Tight เรายิ่งมี Fold Equity เยอะ
เราจะมี Fold Equity มากที่สุดก็ต่อเมื่อเราเล่นไพ่ของเราในแบบที่ทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตัวเองจะแพ้ได้ ซึ่งมันจะเกี่ยวโยงกับวิธีการเล่นและการ Bet ของเรา ประสบการณ์ระหว่างเรากับอีกฝ่าย
ใช้คณิตศาสตร์เข้าช่วย
การที่เรา Bet ก็เหมือนกับเรากำลังดูดเอาโอกาสชนะของอีกฝ่ายมาอยู่ เราสามารถทำสมการง่ายๆในการหาได้แบบนี้
Fold Equity = โอกาสในการหมอบของอีกฝ่าย * โอกาสชนะของไพ่อีกฝ่าย
โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบจะขึ้นอยู่กับข้อมูลของอีกฝ่ายที่คุณมีอยู่ เช่น จากข้อมูลและประสบการณ์ คุณสามารถบอกได้ว่ามีโอกาสถึง 75% ที่อีกฝ่ายจะหมอบให้กับ Bet ของเรา
ส่วนโอกาสชนะของไพ่อีกฝ่ายก็จะขึ้นอยู่กับ Range ไพ่ของอีกฝ่าย โดยต้องอาศัยประสบการณ์ของเราเพื่อหาว่าไพ่อีกฝ่ายที่เจอกับเรามีโอกาสชนะเท่าไร
ตัวอย่าง
เราอยู่ตรง Flop และรู้ว่าอีกฝ่ายถือ
Flop:
ไพ่เรา: – โอกาสชนะ 42.4%
ไพ่อีกฝ่าย: – โอกาสชนะ 57.6%
โอกาสชนะที่ได้ เราคำนวณจากโปรแกรม PokerStove
อีกฝ่ายเริ่มก่อนและ Bet ใส่เรา สมมติว่าเรามีหน้าตักเหลือน้อยมาก (Short Stack) และเชื่อว่าถ้าเรา All-in กลับไป อีกฝ่ายจะมีโอกาสหมอบ 50% ลองไปคำนวณดูกันว่าจะได้กำไรในระยะยาวหรือไม่
Fold equity = โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบ * โอกาสชนะของไพ่อีกฝ่าย
= (0.5) * (57.4)
= 28.8%
ทีนี้ลองมาหาโอกาสชนะรวมทั้งหมดของเรา
Total Equity = โอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบ + โอกาสชนะของไพ่เรา
= 28.8% + 42.4%
= 71.2%
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เรา Re-raise All-in ใส่อีกฝ่ายแบบนี้เราจะมีโอกาสชนะโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 71.2% กลับกัน ถ้าเรา Call ตามไปเฉยๆจะทำให้เราขาดทุนในระยะยาว เพราะมีโอกาสชนะแค่จากไพ่ของเราเพียง 42.4% เท่านั้น จะเห็นได้ว่า แค่การได้ Fold Equity เข้ามาก็ทำให้เราได้กำไรในระยะยาว
ประโยชน์ที่ได้
การใช้ Semi-bluff ต่างๆที่ได้ผลก็มาจากเรื่องนี้นี่แหละ หลายครั้งเรา Bet ด้วย Straight Draw หรือ Flush Draw ก็อาศัยจากโอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบให้เราผสมกับโอกาสที่ไพ่เราจะติด
ถ้าตามตัวอย่างที่ผ่านมา เราแค่มี Draw เฉยๆจะไม่คุ้มกับการ Bet หรือ Raise แต่ถ้ามีโอกาสที่อีกฝ่ายจะหมอบเพิ่มเข้ามา ก็จะช่วยให้การเล่นของเรานั้นมีโอกาสชนะมากขึ้นและได้กำไรในระยะยาว
ใช้ Pure Bluff อย่างไรให้ได้กำไร
อย่างที่บอกไปแล้วว่า โอกาสชนะรวมของเรามาจาก โอกาสในการหมอบของอีกฝ่าย กับ โอกาสชนะของไพ่เรา
ซึ่งการที่เราจะใช้บลัฟล้วนๆ (Pure Bluff) ให้ได้กำไรจะอาศัยจาก Fold Equity เพียงอย่างเดียว เพราะเราไม่เหลือโอกาสชนะจากไพ่ของเราแล้ว(Hand Equity = 0%) เช่น
บอร์ด:
ไพ่เรา: – โอกาสชนะ 0%
ไพ่อีกฝ่าย: – โอกาสชนะ 100%
ถ้าเราจะบลัฟให้ได้กำไรในระยะยาว เราต้องรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีโอกาสหมอบไม่ต่ำกว่า 50% แต่ถ้าโอกาสหมอบต่ำกว่า 50% การบลัฟของเราจะถือเป็นการเล่นที่ขาดทุน
สรุป
ถ้าอ่านจนจบก็พอจะทราบคร่าวๆแล้วว่า Fold Equity คืออะไร ซึ่งเวลาเล่นจริงเราคงไม่มานั่งกดเครื่องคิดเลขหากันหรอก แต่อยากให้รู้ไว้เป็นไอเดียเพื่อใช้ในการช่วยตัดสินใจว่าสถานการณ์ไหนที่เราจะใช้ประโยชน์จากแนวคิดนี้ได้บ้าง เช่น การจะบลัฟต่างๆ เราก็ต้องมาดูว่าในสถานการณ์นั้นอีกฝ่ายมีโอกาสหมอบมากหรือน้อยแค่ไหน และมันคุ้มกับที่เราจะเสี่ยงหรือไม่ ฝึกใช้บ่อยๆจะทำให้เรา Bluff เก่งขึ้นแน่นอน