การ Balance Range เทคนิคใช้ง่ายแต่อาศัยประสบการณ์สูง

การ Range หรือ การทำให้ Range ไพ่ของเราสมดุล เป็นหลักการที่ใช้ไม่ยาก แต่การจะใช้ให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยทักษะการเล่นที่สูงในระดับนึง

การทำให้ Range ไพ่ สมดุลจะเริ่มเข้ามามีผลในการเล่นก็ต่อเมื่อคุณเล่นกับผู้เล่นระดับสูงหรืออย่างน้อยๆก็เป็นผู้เล่นที่ใช้กระบวนการคิดในระดับที่ 2 (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Multiple Level Thinking)

การ Balance Range คืออะไร

ถ้าจะพูดให้ง่ายก็คือ ไม่ว่าไพ่เราจะดีหรือไม่ดี เราก็จะเล่นเหมือนกันในสถานการณ์แบบเดียวกัน (Balance) ตัวอย่างที่เจอบ่อยๆเลยก็คือการใช้

สมมติคุณมีสถิติ C-bet ตรง 80% หรือมากกว่า นั่นหมายความว่า Range ไพ่ ที่ใช้ในการ C-bet ของคุณตรง Flop จะกว้างมาก โดย Range ไพ่ที่คุณถืออาจจะมีได้ตั้งแต่คุณไม่ติดไพ่อะไรเลยจนไปถึงไพ่ที่แกร่งสุดๆ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่คุณ C-bet อีกฝ่ายก็จะมองว่า Range ของคุณนั้นสมดุล

Range ที่สมดุล กับ Range ที่ไม่สมดุล

  • ถ้าคุณเลือกเล่นแต่ไพ่แข็งๆเฉพาะแต่ในสถานการณ์เดิมๆ อีกฝ่ายก็จะมองว่า Range คุณไม่สมดุล
  • ถ้าในสถานการณ์แบบเดียวกัน คุณเล่นทั้งไพ่อ่อนและแข็งผสมกันไป อีกฝ่ายจะอ่านออกยากและมองว่า Range คุณสมดุล เพราะคุณมีโอกาสถือไพ่ได้หลากหลายแบบ
การ Balance Range
ภาพจาก thepokerbank.com

เหตุผลที่ต้อง Balance Range ไพ่

ลองคิดดูว่า ถ้าเราใช้ไพ่หลากหลายแบบมาเล่นแบบเดียวกันในสถานการณ์แบบเดียวกัน อีกฝ่ายก็แทบจะเราไม่ออกเลยว่ามีอะไรอยู่ ซึ่งเราจะได้ประโยชน์จากการที่อีกฝ่ายเดา Range ไพ่ ที่สมดุลของเราไม่ออกตรงนี้นี่แหละ

ยิ่งอีกฝ่ายอ่านไพ่เราได้ยากยิ่งดีกับเรา เพราะจะทำให้อีกฝ่ายเล่นผิดพลาดและไม่ตรงแผนของเขา ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การทำเงินที่มากขึ้นของเราในระยะยาว

เป็นเกมที่ให้ข้อมูลมาไม่สมบูรณ์ เราต้องคอยหาข้อมูลมาปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อหาทางทำเงินให้ได้มากที่สุด ซึ่งถ้าเราทำให้  Range ไพ่ สมดุล อีกฝ่ายก็จะได้ข้อมูลจากเราน้อยและกินเงินเรายากขึ้นตามไปด้วย ถ้าจะบอกง่ายๆก็คือ

  • Range ไม่สมดุล – จะเล่นด้วยง่าย
  • Range สมดุล – จะเล่นด้วยยาก

ตัวอย่างเพื่อชี้ให้เห็นว่าทำไมเราต้องทำให้ Range สมดุล

ไพ่เรา: 

บอร์ด: 

สมมติว่า ทุกครั้งที่เรามีไพ่ที่รอได้หลายแบบ (Strong Draw) ตรง Flop และมีแย่กว่า เราจะ Check-Raise ใส่อีกฝ่าย

จากตัวอย่างก็จะเห็นว่า Check-Raise ตรงนี้ก็ไม่แย่ ออกไปทางดีด้วยซ้ำ ซึ่งคุณอาจจะมองว่า การเล่นหนักๆด้วยไพ่ Draw แบบนี้ใช้บลัฟอีกฝ่ายได้ดีเลย แต่ถ้าเราเล่นแบบนี้เหมือนเดิมบ่อยๆมันก็จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

ถ้าเจอกับผู้เล่นอ่อนๆเขาก็คงไม่สังเกตวิธีเล่นของคุณหรอก คุณสามารถ Check-Raise ด้วยไพ่ Draw ในสถานการณ์แบบนี้ซ้ำๆแต่ก็ยังสามารถทำเงินได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไปเจอกับพวกช่างสังเกตหน่อย เขาจะมองแผนของคุณออกและเริ่ม Raise ใส่คุณด้วยไพ่พวก Top Pair เพื่อทำให้คุณได้ Odds ที่ไม่ดีและต้องยอมหมอบไป

การ Balance Range จะทำให้อีกฝ่ายอ่านเรายากขึ้น

จากตัวอย่างที่ผ่านมาก็จะเห็นแล้วว่า การเล่นที่คุณอาจจะคิดว่าเป็นการบลัฟที่ดี แต่พอใช้ซ้ำๆเข้าบ่อยๆกับผู้เล่นที่คิดเยอะๆมันก็จะไม่ได้ผลอีกต่อไป เขาจะมองว่า Range คุณไม่สมดุลและจะคิดว่าคุณมีโอกาสรอไพ่อยู่สูง

เพราะฉะนั้น เราจึงต้องทำให้สมดุลโดยการลองเพิ่ม แข็งๆเข้าไป หรือไพ่ที่ใหญ่กว่า หรืออาจจะไม่ติดอะไรเลยก็ได้ พออีกฝ่ายเริ่มเห็นแล้วว่าเรา Check-Raise ด้วยไพ่หลากหลายขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ ก็จะเริ่มคิดหนักแล้วว่าควรจะเล่นอย่างไรดี

วิธีทำให้ Range สมดุล

มีปัจจัยพื้นฐานหลักๆในการทำให้ Range สมดุล คือ

  1. ใช้วิธีเล่นแบบเดียวกันแต่ใช้ไพ่อ่อนและแข็งผสมกันไป
  2. ใช้วิธีในการเล่นแตกต่างกันเวลาถือไพ่ที่ระดับเท่ากัน

สิ่งที่ยากไม่ใช่การรู้ว่าจะทำ ‘อย่างไร' แต่เป็น ‘เมื่อไหร่' ที่เราควรใช้ต่างหาก การทำ Range ไพ่ให้สมดุลเป็นทักษะที่คุณสามารถฝึกจนเก่งได้ แต่ก็ต้องอาศัยความเข้าใจเกมของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

อย่าลืมว่าถ้าเจอกับผู้เล่นแย่ๆ ที่มักจะหมอบให้กับ Check-Raise เวลาคุณ Bluff ทุกครั้ง คุณก็ไม่ต้องไปทำให้ Range สมดุลหรอก คุณสามารถทำซ้ำๆแบบเดิมก็ยังได้กำไร เพราะเขาไม่สนใจว่าคุณจะมี Range ไพ่แบบไหน เขาสนใจแค่ไพ่ของตัวเองเท่านั้น

สรุป

จะเห็นได้ว่า การ Balance Range  สำคัญอย่างมากในระดับเกมที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเวลาเจอกับพวกชอบวิเคราะห์ไพ่ที่คุณถือจากสไตล์การเล่นของคุณ เราต้องนึกถึงวิธีการเล่นของเราและคิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านการเล่นของเราว่าอย่างไรบ้างเสมอเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลของเราให้รั่วไหลไปหาอีกฝ่ายให้น้อยที่สุด และยิ่งอีกฝ่ายมีข้อมูลของคุณน้อยเท่าไหร่ เราก็จะทำเงินได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

 

อ่านบทความต้นฉบับ

แสดงความเห็น