Stop and Go เทคนิคลับพิชิตทัวร์นาเมนต์

Stop and Go เป็นท่าที่ใช้ All-in เพื่อที่จะ Double up หน้าตักตัวเองโดยใช้รอบการเล่น 2 รอบ คือ Pre-flop กับ Flop โดยแทนที่เราจะ All-in Pre-flop ไปเลย แต่เรากลับเลือก Call ตามไปก่อนจึงค่อยไปเทใส่ทีหลังตอน Flop ออกมา ซึ่งปกติจะใช้ในทัวร์นาเมนต์เวลาหน้าตักเราเหลือน้อย (Short Stack)

เมื่อไหร่ที่ควรใช้ Stop and Go

เราจะใช้ก็ต่อเมื่อ เรามีสแตคน้อยมากจนอีกฝ่ายที่ Raise มาก่อนหน้ามีโอกาสหมอบให้เราน้อย (เรียกว่าไม่มี Fold Equity)

สมมติคุณเป็น Short Stack ในทัวร์นาเมนต์แล้วได้ไพ่ที่เหมาะจะ Re-raise All-in มาพอดี ซึ่งคุณเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตักเหลือเยอะพอสมควร ถ้า All-in ไปก็คงไม่ยอมหมอบเพราะเขาได้ Pot odds ที่คุ้ม ในสถานการณ์นี้จะใช้ Stop and Go ได้ดีที่สุด

วิธีใช้

แทนที่เราจะ Re-raise All-in ใส่ตามปกติ เราจะเปลี่ยนเป็น Call Raise ของอีกฝ่ายที่ Pre-flop เพื่อจะไป All-in ใส่หลัง Flop ออกมาแทนโดยไม่สนว่า Flop จะออกมาเป็นอะไร

ซึ่งการ Call ตามไปเฉยๆแล้วค่อยไปเทใส่ทีหลังแบบนี้จะได้โอกาสที่อีกฝ่ายมีโอกาสหมอบตรง Flop เพิ่มขึ้นมา เพราะเขาได้ดูไพ่ 3 ใบแรกแล้ว ถ้าไม่ติดอะไรก็อาจจะยอมหมอบ แต่ถ้าเขาอยากดูไพ่ที่เหลือเขาต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งจะต่างจาก Re-raise All-in ที่อีกฝ่ายจะกล้า Call แล้วได้ดูไพ่ทั้ง 5 ใบเลย

การใช้ Stop and Go จะช่วยลดโอกาสที่อีกฝ่ายจะ Call เราได้ ซึ่งโดยเฉลี่ยมีโอกาสถึง 60% ถ้าเขาไม่ติดไพ่อะไรเขาก็จะยอมหมอบให้เรา

ตัวอย่าง

เราอยู่ในช่วงกลางๆของทัวร์นาเมนต์ Blind 100/200 เราถือ  ตรง BB เป็น Short Stack เหลือ 1200 ชิพ

ทุกคนหมอบจนมาถึงอีกฝ่ายที่อยู่ LP Raise มา 600 โดยสมมติว่าอีกฝ่ายถือ Pocket pair 10 ในมือ

ซึ่งในสถานการณ์นี้โดยทั่วไปเราคง Re-rase All-in ได้สบายๆ แต่อีกฝ่ายคงไม่หมอบคู่ 10 ในมือหรอก แล้วเราก็จะได้ไปลุ้นกัน 50/50 แต่ถ้าเราใช้ Stop and Go เราสามารถมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นได้

แทนที่เราจะ All-in ใส่เลย เรากลับ Call แทน ซึ่งจะทำให้เราเหลือ 600 ชิพข้างหลัง

Flop ออกมา  และเรา All-in ใส่ทันที ตอนนี้อีกฝ่ายก็จะคิดหนักละ เพราะเขาจะต้อง Call 600 ในพอทราคา 1300 ด้วยคู่กลางในมือของเขา

อีกฝ่ายได้ Odds ประมาณ 2:1 ที่จะ Call โดยเราอาจจะติดคู่ Q หรือมี Pocket Pair ที่ใหญ่กว่าก็ได้ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายยอมหมอบ เราจะได้พอทนั้นไปด้วยไพ่ที่ไม่ติดอะไรเลยของเรา แต่กลับกัน ถ้าเรา All-in ตั้งแต่ Pre-flop เราอาจจะออกจากทัวร์นาเมนต์ไปเลยก็ได้

ทำไม Stop and Go ถึงใช้ได้ผล

นั่นก็เพราะ การทำให้อีกฝ่ายคิดหนักตรง Flop เป็นการสร้าง Fold Equity ให้กับเรา มันเป็นเหมือนการเพิ่มโอกาสชนะของเราอีกทางหนึ่ง ซึ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ติดอะไรเขาอาจจะหมอบ แต่ถ้าเขาติดไพ่ตรง Flop และเลือกที่จะ Call ตาม มันก็ไม่ต่างกับการที่เรา Raise All-in ไปตั้งแต่ Pre-flop เพราะไพ่ก็จะออกแบบเดิมอยู่ดี

เรามีแผนแต่แรกแล้วว่าจะ All-in ไม่ว่าไพ่ตรง Flop จะออกมาแบบไหนก็ไม่ส่งผลอะไรกับเราทั้งนั้น

เทคนิคเพิ่มเติม

  1. ต้องเปิด All-in ใส่เสมอถ้าเราได้เล่นก่อนอีกฝ่าย หรือ รอ Call Bet อีกฝ่ายถ้าได้เล่นทีหลัง
  2. ใช้ Stop and Go เมื่อเหลือเป็น Heads up เท่านั้น

เปิด All-in ใส่ก่อนเสมอ

ถ้าเราจะใช้ Stop and Go แล้วได้เล่นก่อนอีกฝ่าย เราควรจะ All-in ใส่ทันที เพราะถ้าเรา Check กลับ เราจะเสีย Fold Equity

แต่ถ้าเราได้เล่นทีหลัง เราต้อง Call หรือ Raise ให้หมดหน้าตักใส่อีกฝ่ายเสมอ เพราะในจุดนี้เรียกได้ว่าเราลงเงินไปเยอะเกินแล้ว (Pot committed) การจะหมอบแล้วเหลือ Stack น้อยๆดูจะไม่ใช่การเล่นที่ได้กำไรเท่าไหร่ แถมไพ่เราก็ยังมีโอกาสชนะเหลืออยู่

ใช้ Stop and Go เมื่อเหลือเป็น Heads up เท่านั้น

จำไว้เสมอว่า เราควรใช้เมื่อเหลือ Heads up กับอีกฝ่าย เพราะถ้ามีผู้เล่นหลายคนในพอท มันจะเป็นการเพิ่มโอกาสที่คนใดคนหนึ่งจะติดไพ่ดีๆตรง Flop ดังนั้น ในสถานการณ์ทั่วไปก็ให้เราใช้ท่าปกติคือ Re-raise All-in ไปตั้งแต่ Pre-flop เลยเพื่อลดโอกาสที่คนจะตามมา

 

อ่านบทความต้นฉบับ

แสดงความเห็น