ประเภทของผู้เล่นในโป๊กเกอร์ พร้อมกลยุทธ์ในการรับมือผู้เล่นแต่ละแบบ

ประเภทของผู้เล่นในโป๊กเกอร์ มีหลายแบบและแต่ละคนก็อาจจะเรียกหรือบัญญัติคำที่ใช้เรียกแตกต่างกันไป หลายคนก็คงเคยเห็นคำว่า Calling Station TAG หรือ Rock ผ่านตากันมาบ้างแต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร บทความในวันนี้จึงอยากจะนำเสนอถึงชื่อเรียกและสไตล์ของผู้เล่นแต่ละประเภท

แต่ก่อนจะไปดูว่าแต่ละประเภทเป็นยังไง เรามาดูวิธีที่ใช้ในการจำแนกผู้เล่นแต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า

วิธีจำแนก ประเภทของผู้เล่นในโป๊กเกอร์

มีเรื่องพื้นฐาน 2 อย่างที่เราต้องดูเพื่อหาว่าอีกฝ่ายมีสไตล์การเล่นแบบไหน นั่นก็คือ

  1. การคัดไพ่เริ่มต้น (Starting Hands) – อีกฝ่ายเล่นไพ่หลากหลาย (Loose) หรือ เล่นไพ่น้อยๆรัดกุม (Tight)
  2. แผนการ Bet (Betting Pattern) – อีกฝ่าย Bet รัวๆ (Aggressive) หรือ ไม่ค่อย Bet (Passive)

การคัดไพ่เริ่มต้น ก็หมายถึง อีกฝ่ายคัดไพ่เริ่มต้น 2 ใบเข้ามาเล่นแบบไหน ถ้าเป็นพวก Tight ก็จะเน้นไพ่ที่ดีๆเข้ามาเล่นหน่อย ส่วนพวก Loose ก็จะเล่นไพ่หลายแบบไม่ค่อยคัดมาเน้นๆเท่าไหร่ ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์ ผู้เล่น Loose จะมีเปอร์เซ็นต์นำไพ่เข้ามาเล่นอยู่ 40% (33+, A2+, K2S+, K5o+, Q5s+, Q8o+, J7s+, J9o+, T8s) ส่วนผู้เล่น Tight จะอยู่ที่ประมาณ 15% (55+ A7S+ , A5s, A9o+, K9s+, KJo+, QJs)

แผนการ Bet ก็จะหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างการ Bet Raise และ Call จะไม่รวมการ Check โดยถ้าอีกฝ่ายเน้นการ Bet หรือ Raise มากกว่าการ Call เป็นสองเท่า นั่นคือเขา Aggressive ส่วนถ้าอีกฝ่ายเน้น Call มากกว่า Bet หรือ Raise นั่นคือเขา Passive

ซึ่งพอพิจารณาทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน เราก็จะได้ประเภทของผู้เล่นพื้นฐานที่มีอยู่ 4 ประเภทด้วยกัน คือ

  1. Tight Passive: The Rock
  2. Tight Aggressive: The TAG
  3. Loose Passive: The Calling Station
  4. Loose Aggressive: The LAG
ประเภทของผู้เล่นในโป๊กเกอร์
ภาพจาก Tournamentterminator.com

The Rock (Tight Passive)

ผู้เล่นประเภทนี้จะเน้นคัดไพ่เริ่มต้นมาเล่นน้อยและไม่ค่อย Bet ส่วน Raise นี่แทบไม่เห็น ถ้าเราเจอผู้เล่นประเภทนี้ Bet หรือ Raise มาแสดงว่าเขาน่าจะมีของดีๆ

ข้อดีของการเล่น Tight Passive

  • โอกาสการขาดทุนลดลงเพราะเน้นคัดแต่ไพ่เริ่มต้นดีๆ
  • ถ้าบนโต๊ะมีผู้เล่น Aggressive อยู่เยอะจะทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีมาก เพราะผู้เล่นพวกนั้นจะ Raise หรือ Bluff มาใส่เรา เวลาเราติดไพ่ดีๆอีกฝ่ายก็จะเป็นคน Action ให้เราเองทุกอย่าง

ข้อเสียของการเล่น Tight Passive

  • ด้วยความที่เล่น Passive มาก จึงทำให้ Rock ทำเงินได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเวลาติดไพ่ดีๆ แถมยังเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายมีโอกาสลุ้นไพ่ได้มากขึ้นในบอร์ดที่มีโอกาสลุ้นออกได้หลายหน้า

ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับผู้เล่นประเภท Rock

  • ถ้าเห็นเขาอยู่ตำแหน่ง BB หรือ SB เมื่อไหร่ ลองขโมย Blind ด้วยการ Raise 3BB จาก Late Position ดู
  • ถ้า Rock Bet หรือ Raise ตรง Pre-flop เราควรเลือกแต่ไพ่เริ่มต้นที่ดีที่สุดมาเล่นเท่านั้น
  • ถ้าเรา Draw ตรง Flop ใช้การ Check จะดีมาก เพราะ Rock จะไม่ค่อย Bet ทำให้มีโอกาสดูไพ่ใบต่อไปฟรีๆ

The Calling Station (Loose Passive)

Calling Station จะคัดไพ่เริ่มต้นมาเล่นเยอะมาก แต่พวกนี้จะไม่ค่อย Bet หรือ Raise ซึ่งผู้เล่นมือใหม่จะเล่นสไตล์นี้กันเยอะ โดยถ้าพวกนี้ติดไพ่บน Flop ก็จะไม่ค่อย Bet เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหมอบ หรือ ถ้าไม่ติดไพ่ตรง Flop ก็จะ Call ตามอยู่ดี เพราะคิดว่าตัวเองมีโอกาสติดตรง Turn หรือ อีกฝ่ายอาจจะ Bluff อยู่ ซึ่งสไตล์การเล่นแบบนี้จะไม่สามารถทำเงินได้เลยในโป๊กเกอร์ออนไลน์

ข้อดีของการเล่น Loose Passive

  • ถ้าในโต๊ะมีผู้เล่น Aggressive อยู่เยอะ เราก็จะสบายเพราะมีอีกฝ่ายคอยทำหน้าที่ Bet หรือ Raise แทน
  • ถ้าเจอกับผู้เล่น Tight Passive แล้วมีหน้าตัก 100-200BB ขึ้นไป สไตล์นี้จะมีโอกาสทำเงินได้สูงเวลาติดไพ่ที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง (สมมติถือ 108o เข้าไปติด Straight ตรง Flop ถ้าอีกฝ่ายมี Top pair ก็คงไม่ยอมหมอบให้เราเพราะมองว่าเราเป็น Calling Station)

ข้อเสียของการเล่น Loose Passive

  • ก็จะเหมือนกับพวก Rock เลยตรงที่ Calling Station จะทำกำไรได้ไม่เต็มสูบเวลาติดไพ่ดีๆและไม่ค่อยป้องกันไพ่ของตัวเองจากพวก Draw ต่างๆ
  • Calling Station เล่นไพ่อ่อนๆเยอะเกินไป ทำให้พวกนี้เสียเงินบ่อยจากการถือไพ่ที่ต่ำกว่าอีกฝ่าย (เช่น AT เจอ AK)

ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับผู้เล่นประเภท Calling Station

  • ถ้าเจอกับพวกนี้ เราควรจะ Bet เมื่อมีไพ่ดีๆเท่านั้น ไม่ต้องไป Bluff เพราะยังไงเขาก็ Call ตาม
  • เวลามีไพ่ดีๆ พยายาม Raise Pre-flop ให้หนักกว่าปกติถ้าเห็นว่า Calling Station ร่วมเล่นอยู่ในพอทอยู่ หรือ นั่งอยู่ตำแหน่ง BB SB
  • ถ้าพวกนี้ Bet มา ให้เราหมอบไพ่กลางๆของเรา

The TAG (Tight Aggressive)

ผู้เล่น TAG จะคัดไพ่เริ่มต้นมาเล่นน้อยแต่จะ Bet และ Raise บ่อยมาก ไม่ค่อย Call ให้เห็น ซึ่งผู้เล่นขาประจำที่เล่นหลายๆจอในเกม SNG และ MTT จะเล่นสไตล์นี้

ข้อดีของการเล่น TAG

  • เนื่องจากคัดไพ่มาเล่นน้อย ทำให้ลดโอกาสการขาดทุนและทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น (สำคัญสำหรับการเล่นหลายจอ)
  • ด้วยความที่เล่น Aggressive ทำให้ TAG สามารถชนะได้ทั้งการ Bluff ให้อีกฝ่ายหมอบ หรือ ทำกำไรได้สูงเวลาถือไพ่ที่ดีกว่าอีกฝ่าย

ข้อเสียของการเล่น TAG

  • เนื่องจากเล่นรัดกุม (Tight) ทำให้สามารถอ่าน Range ไพ่ได้ง่าย พวกผู้เล่นช่างสังเกตก็จะอ่านออกและปรับตัวเพื่อจัดการเราได้
  • มีโอกาสเสียหมดหน้าตักสูงขึ้นเวลาถือไพ่ดีๆอย่าง Top pair Top Kicker (เพราะเล่น Aggressive)

ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับผู้เล่นประเภท TAG

  • เนื่องจากเขา Tight ลองพยายามขโมย Blind ดูเวลาอยู่ Late Position
  • ถ้า TAG Bet หรือ Raise ตรง Pre-flop เราควรเลือกแต่ไพ่เริ่มต้นที่ดีที่สุดมาเล่น หรือ ถ้าเรามี AA KK QQ (บางครั้งก็ JJ หรือ AKs) ให้ Re-raise กลับเสมอ
  • ถ้าเราถือไพ่ดีแต่มีตำแหน่งการเล่นที่แย่กว่าผู้เล่น TAG ให้เรา Check กลับให้เขาตรง Flop เพราะ TAG มักจะใช้ C-bet ไม่ว่าจะติดไพ่หรือไม่
  • โดยรวมแล้ว TAG เป็นกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ลองศึกษาและนำไปใช้ดู หรือ ถ้าเจอพวก TAG ในโต๊ะก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ต้องไปเล่นด้วย

The LAG (Loose Aggressive)

ผู้เล่น LAG จะคัดไพ่เริ่มต้นมาเล่นหลากหลายแบบมาก และมักจะเน้นไปที่การ Bet หรือ Raise มากกว่า Call ระดับโปรหลายคนก็ใช้สไตล์นี้และประสบความสำเร็จอย่างมากในทัวร์นาเมนต์ แต่ไม่แนะนำให้มือใหม่ใช้เพราะเป็นการเล่นที่เสี่ยงสูง

ข้อดีของการเล่น LAG

  • จะอ่านไพ่ผู้เล่น LAG ยากมาก เพราะคัดไพ่มาเล่นหลายแบบ
  • ภาพลักษณ์ของ LAG จะทำให้อีกฝ่ายคิดว่า Bluff อยู่ตลอด
  • และการเล่นแบบ Aggressive ทำให้มีโอกาสชนะได้ทั้งถือไพ่ที่ดีที่สุดและ Bluff ให้อีกฝ่ายหมอบ

ข้อเสียของการเล่น LAG

  • การเล่น LAG ต้องรู้ว่าจังหวะไหนตัวเองแพ้และควรหมอบ ไม่อย่างงั้นสไตล์นี้จะทำให้เสียเงินเยอะอย่างแน่นอน

ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับผู้เล่นประเภท LAG

  • ถ้าคุณเป็นผู้เล่นที่เก่งหน่อย คุณสามารถเลือกไพ่ไปเล่นกับ LAG ได้หลากหลายขึ้น เพราะมีโอกาสสูงที่ไพ่ของคุณจะนำอยู่ตรง Pre-flop
  • ถ้า LAG Bet ช่วง Pre-flop คุณสามารถ Re-raise ด้วยไพ่แข็งๆเพื่อบีบให้เขาออกจากพอทได้
  • ถ้า LAG มีตำแหน่งที่ดีกว่าคุณ ลองใช้ Check-Raise ดู

The Nit กับ The Maniac

นอกจาก 4 สไตล์พื้นฐาน ก็ยังมีอีก 2 ประเภทที่เห็นกันบ่อยๆ คือ

  1. The Nit หรือ ผู้เล่นที่ขี้กลัวมากๆ โดยมักจะหมอบเวลาอีกฝ่าย Bet ใส่ถ้าไม่ได้ถือไพ่ดีจริงๆ ซึ่งพวก Rock และ TAG หลายคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองคือ Nit และถ้าเรา Bet ไปแล้วเห็น Nit ตามมา ให้สันนิษฐานเลยว่า เขาถือไพ่ดีๆอยู่
  2. The Maniac เป็นผู้เล่นที่เล่นไพ่หลากหลายแบบและ Bet หนัก Raise หนัก ถ้าเจอกับพวกนี้การควบคุมอารมณ์ไม่ให้ Tilt เวลาโดนเขาเอาไพ่อย่าง 64s มาตบนี่สำคัญมาก พยายามใจเย็นและระลึกไว้เสมอว่าในระยะยาวเราจะกินเขาหมดหน้าตักแน่นอน

สรุป

ก็จะเห็นแล้วว่า ประเภทของผู้เล่นในโป๊กเกอร์ มีอะไรบ้าง และได้รู้ด้วยว่าการใช้กลยุทธ์สไตล์ TAG เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการทำเงิน เพราะคัดไพ่มาเล่นน้อยทำให้มีโอกาสขาดทุนลดลง และเล่นได้ง่าย ไม่ค่อยเจอสถานการณ์ยากๆ แถมยังทำเงินได้เต็มสูบ ก่อนจะจบบทความก็มีรูปสรุปสั้นๆเพื่อเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น

ประเภทของผู้เล่นในโป๊กเกอร์
ภาพจาก Tournamentterminator.com

 

 

อ่านบทความต้นฉบับ

แสดงความเห็น