REM ตัวช่วยในการทำเงินที่ดีที่สุดในโป๊กเกอร์

REM หรือ Range Equity และ Maximize เป็นกระบวนการที่ใช้คำนวณหาค่า EV+ ให้กับไพ่ของเราในสถานการณ์นั้นๆ โดย Flynn Mehta และ Miller นำมาเผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ Professional No-Limit Hold’em: Volume I (เล่มเดียวกับที่มีเรื่อง SPR)

REM คืออะไร

อย่างที่บอกไปแล้วว่า REM ย่อมาจาก Range Equity และ Maximize โดย

  • Range คือ การกำหนด Range ไพ่ของอีกฝ่ายโดยอาศัยจากข้อมูลการเล่นของอีกฝ่ายในสถานการณ์นั้น
  • Equity คือ หาโอกาสชนะที่เรามีอยู่เมื่อเจอกับ Range ไพ่อีกฝ่ายในสถานการณ์นั้น
  • Maximize คือ เลือกการเล่นที่ทำให้ EV+ มากที่สุด โดยอิงจากข้อมูลที่รวบรวมมาได้ทั้งหมด

นี่ก็เป็น 3 ขั้นตอนในการหาค่า EV+ ที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ในสถานการณ์ที่เราเจอ

Range – กำหนด Range ไพ่ให้อีกฝ่าย

แน่นอนอยู่แล้วว่าการจะเดาไพ่อีกฝ่ายได้เป๊ะสองใบเลยนั้นยากมาก เราจึงจะใช้การกำหนดา Range ไพ่ให้อีกฝ่ายแทน โดยการจะกำหนด Range ได้แม่นยำก็พอมีเคล็ดลับง่ายๆอยู่ 2 อย่างคือ

  1. ใช้ข้อมูลที่เรามีเกี่ยวกับการเล่นของอีกฝ่ายมาช่วยกำหนด Range ไพ่
  2. ใช้พวก Tracking Software ที่เก็บสะสมสถิติของผู้เล่นมาช่วยกำหนด Range ไพ่ให้ละเอียดขึ้น

การกำหนด Range โดยไม่ใช้ Software

ถ้าเรายังไม่มีโปรแกรม Tracking เราจะต้องเค้นข้อมูลของอีกฝ่ายที่เรามีอยู่มาช่วยกำหนด Range ไพ่ โดยหลักๆก็เป็นพวกสไตล์ในการเล่นและในระหว่าง Hand ที่เล่นกันเขามี Action อย่างไรบ้าง

ตัวอย่าง

สมมติในเกม 6max Pre-flop ผู้เล่น TAG 3-bet ใส่ผู้เล่นทั่วไปที่ Raise จาก UTG

จากข้อมูลที่มี เราจะพอเดาได้เลยว่า Range ไพ่ที่ใช้น่าจะเป็นคู่ JJ ขึ้นไป หรือพวก AK

Range ของผู้เล่น TAG ที่ 3-bet จาก MP จะเป็น JJ+, AKs, AKo

การกำหนด Range โดยใช้ Software

ถ้าเราใช้ HUD ที่เก็บสถิติของอีกฝ่าย (เช่น Poker Tracker หรือ Holdem Manager) เราจะกำหนด Range ได้ง่ายและแม่นยำขึ้นเยอะแถมไม่ต้องมานั่งเดาเอาเองด้วย

สมมติใช้ตามตัวอย่างด้านบน ที่มีคน Raise จากตำแหน่งต้นๆแล้วมี MP 3-bet ใส่ ผู้เล่นที่เราคิดว่า TAG แต่พอมาดูสถิติจาก Software แล้วกลับกลายเป็นว่าเขา Loose มากกว่าที่คิดนิดหน่อย เพราะ HUD แสดงให้เห็นว่าเขามีค่า 3-bet ตรง Pre-flop มากถึง 5% ซึ่งถ้าเรานำค่า 5% ของไพ่ที่เขาใช้เล่นทั้งหมดไปใส่ใน PokerStove จะได้ออกมาเป็น

REM
สีเหลือง: Range ไพ่ 5% ของอีกฝ่าย                                                ภาพจาก thepokerbank.com

Pre-flop 3-bet Range 5% คือ TT+, AQs+, KQs, AQo+ หรือก็คือ คู่ 10 เป็นต้นไป หรืออาจจะเป็น KQs และ AK กับ AQ ทั้งหมด

Equity – หาโอกาสชนะของเรา

ในขั้นตอนนี้ PokerStove จะมีประโยชน์สุดๆ เพราะจะช่วยหาโอกาสชนะของไพ่เราได้ง่ายขึ้นเยอะ

วิธีการก็คือ เราใส่ไพ่ที่เราถือเข้าไปในโปรแกรม เสร็จแล้วก็ใส่ Range ที่เราเพิ่งกำหนดให้อีกฝ่ายก่อนหน้าเข้าไป แล้วก็กด Evaluate คำนวณหาออกมา

สมมติว่าเราถือ  ละกัน และ Range อีกฝ่ายที่ 3-bet คือ TT+, AQs+, KQs, AOo+

REM
สถานการณ์ตัวอย่าง
REM
โอกาสชนะของ AhJh เมื่อเจอกับ Range ไพ่อีกฝ่าย

พอคำนวณออกมาจะเห็นเลยว่า เรามีโอกาสชนะอยู่ 34% ถ้าไปเจอ Range ไพ่ของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักและหมายความว่าอีกฝ่ายนำเราอยู่ในถึง 2 ต่อ 1 ในสถานการณ์ Pre-flop ตอนนี้

Maximize – เลือกการเล่นที่ดีที่สุด

ตอนนี้เราก็มีทั้ง Range ไพ่อีกฝ่ายและรู้โอกาสชนะของตัวเองแล้ว แต่ข้อมูลที่เราได้มาจะไร้ค่ามากถ้าเราไม่สามารถทำกำไรแบบเต็มสูบได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าจะมีตัวเลือกอะไรดีๆบ้าง โดยจะนำตัวอย่างข้างบนมาใช้ต่อ

ตัวอย่างที่ 1

ไพ่เรา: โอกาสชนะ 34%

Range ไพ่อีกฝ่าย: TT+, AQs+, KQs, AQo+ โอกาสชนะ 66%

ทั้งสองมีหน้าตักเต็มเท่ากัน (Full Stacks)

ถ้าจากตัวอย่างนี้เราเล่นอยู่ใน $100NL และมีหน้าตักเต็มเท่ากัน เรา Raise $7 อีกฝ่าย 3-bet $24 ตรงนี้ตัวเลือกการเล่นที่ดีที่สุดและทำกำไรได้ในระยะยาวน่าจะเป็นการหมอบ

เพราะไพ่ที่น่าจะดีกับเราน่าจะมีแค่ J ตรง Flop หรือถึงจะติด J ก็อาจจะไม่ดีมากเท่าไหร่นักเนื่องจาก Range ไพ่อีกฝ่ายที่นำเราเยอะพอสมควร การหมอบตรงนี้จึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ตัวอย่างที่ 2

ไพ่เรา: โอกาสชนะ 34%

Range ไพ่อีกฝ่าย: TT+, AQs+, KQs, AQo+ โอกาสชนะ 66%

อีกฝ่ายเหลือหน้าตักแค่ 20BB (Short Stack)

เรายังอยู่ใน $100NL เหมือนเดิม แต่คราวนี้อีกฝ่ายเหลือหน้าตักแค่ $20 เรา Raise $7 อีกฝ่าย 3-bet All-in $20 ตรงนี้เราต้องเสียเงิน $13 เพื่อเสี่ยงเอาพอทราคา $28.5 ($20 + $7 + SB กับ BB) นั่นทำให้เรามี Pot Odds เป็น 2.2 ต่อ 1

และตอนนี้เรามีโอกาสชนะ 33% หรือก็คือ Odds 2 ต่อ 1 โดย Pot Odds มากกว่าโอกาสชนะของเรา จึงทำให้การเล่นตรงนี้การ Call ตามไปจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดและได้กำไรในระยะยาว แถมเราไม่ต้องไปกังวลเรื่องการเล่นต่อตรง Flop ด้วย เพราะเป็นการ All-in

อันนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้น เราจะเจอสถานการณ์ที่อาจจะง่ายหรือยากกว่านี้อีกไม่รู้จบซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝนอีกมาก

สรุป REM

จากที่อ่านมาน่าจะบอกได้เลยว่า REM คือวิธีช่วยตัดสินใจในการเล่น NLH ได้ดีที่สุด โดยส่วนที่ยากในการใช้เลยก็คือ การพัฒนาทักษะที่ใช้อ่านไพ่อีกฝ่าย แล้วนำมาหาโอกาสชนะของไพ่เราเพื่อนำไปหาตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเล่น

แต่เราไม่สามารถคำนวณหาทุกอย่างให้ทันได้ในระหว่างการเล่นหรอก เราก็แค่อาศัยการเล่นและฝึกบ่อยๆเพื่อให้ตัวเองคุ้นชินกับสถานการณ์นั้นๆ

ยิ่งเราฝึกใช้มากเท่าไหร่ เราจะยิ่งทำแต่ละขั้นตอนได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด Range ไพ่ หาโอกาสชนะ หรือตัดสินใจเลือกทางที่ทำกำไรมากที่สุด

อ่านบทความต้นฉบับ

แสดงความเห็น