กลยุทธ์ชั้นเซียนในการอ่านไพ่คู่ต่อสู้

แกนหลักของกลยุทธ์ในการเล่นโป๊กเกอร์นั่นก็คือ Range ของไพ่

แทนที่คุณจะมากำหนดไพ่ของคู่ต่อสู้แบบตายตัวไปเลยว่าคู่ต่อสู้ถือไพ่อะไรอยู่ การนำ Range ของไพ่เข้ามาแทนนั้นจะช่วยกำหนดไพ่ของทั้งตัวคุณและคู่ต่อสู้ว่ามีโอกาสที่จะถือไพ่แบบไหนบ้างในสถานการณ์นั้นๆ

แล้วมันสำคัญยังไงล่ะ?

การกำหนดไพ่ของคู่ต่อสู้แบบตายตัวนั้นถือเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ค่อยจะได้ผลนัก นั่นก็เพราะ ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เล่นแต่ละคนต่างก็สามารถถือไพ่ได้หลากหลายและแตกต่างกันมากในเกือบทุกตำแหน่ง

ดังนั้นแล้ว ในระหว่างการเล่นแต่ละมือ คุณควรจะต้องกำหนด Range ของไพ่ให้คู่ต่อสู้อยู่เสมอ ทุกๆครั้งที่มีการตัดสินใจจากคู่ต่อสู้(Bet, Call, Check) คุณก็ต้องนำการตัดสินใจเหล่านั้นและข้อมูลที่คุณมีอยู่มาช่วยในการประเมินและกำหนด Range ไพ่ของคู่ต่อสู้

ในบทความนี้ ผมเลยอยากจะมาเผยวิธีกำหนด Range ไพ่ของคู่ต่อสู้ทั้งตอนที่คุณเป็นฝ่ายรุก(Aggressor, Pre-flop raiser) และตอนเป็นฝ่ายรับ(Pre-flop caller)

ในแต่ละตัวอย่างต่อไปนี้ เราจะสาธิตกระบวนการคิดและการประเมิน Range ของไพ่เปลี่ยนไปตามทุกๆการตัดสินใจที่เกิดขึ้นทั้งจากตัวเราและคู่ต่อสู้

 ภาพ Pre-flop ranges ที่ใช้ในบทความนี้นำมาจาก Upswing Lab

 

การกำหนด Range ไพ่ของคู่ต่อสู้เมื่อเป็นฝ่ายรุก (Aggressor, Preflop raiser)

สมมติว่าคุณกำลังเล่น $0.50/$1.00 แบบออนไลน์โต๊ะ 6 คน (6-max) และมีหน้าตัก 100 Big Blind

Hero อยู่ในตำแหน่ง UTG

Hero: Raise $3

4 คน Fold

Villain: Call ในตำแหน่ง BB

อันนี้เป็นภาพ Raising-Range ของ Hero ที่สามารถเป็นไปได้ที่ Raise มาจากตำแหน่ง UTG

utg poker range
สีแดง =  Range เมื่อเป็นฝ่ายรุก (จำไว้ว่า KJo และไพ่คู่ต่ำๆจะถูกมองว่า Loose ถ้าเป็นคน Open-raise จากตำแหน่งนี้)

และอันนี้เป็นภาพ Calling-Range ของ Villain ที่สามารถเป็นไปได้ที่ Call ในตำแหน่ง BB

bb calling poker range vs utg

ตอนนี้เราสามารถเดาแบบมีหลักการได้แล้วว่า Range ไพ่ของ Villain จะเป็นแบบไหน เนื่องจากโดยส่วนใหญ่ถ้ามีการถือไพ่ใหญ่ๆ (เช่น JJ+, AQs+, AKo) ควรจะเล่นโดยการใช้ 3-bet แต่ในที่นี้ Villain เลือกที่จะ Call แทนที่จะ 3-bet ซึ่งจากตรงนี้ทำให้มือใหญ่ๆพวกนั้นไม่น่าจะอยู่ใน Range ของ Villain

แต่ก็ไม่เสมอไปนะ ควรจำไว้เสมอว่า บางครั้งคู่ต่อสู้ก็ถือไพ่ที่คุณไม่คิดว่าจะอยู่ใน Range ของพวกเขา ซึ่งของพวกนี้มันอยู่ที่แนวความคิดและสไตล์ของแต่ละคน ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ทั้งต่อผู้เล่นที่เก่งและผู้เล่นที่แย่

  • คนที่เก่งมักจะใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายผสมกัน ใช้สไตล์การเล่นที่แตกต่างกันในมือแบบเดียวกัน
  • ผู้เล่นที่แย่บางครั้งก็จะเล่นในสไตล์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย

เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่การใช้ Range จะมีความผิดพลาดอยู่บ้าง แล้วก็ การใช้ Range นั้นไม่มีอะไรตายตัว มันเป็นแค่ตัวชี้ว่าผู้เล่นมีโอกาสที่จะถือไพ่แบบไหนอยู่ในมือบ้างในสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เล่นแต่ละคนจะไม่ได้ถือไพ่นอกเหนือจาก Range ที่เรากำหนดขึ้นมานะ เขาอาจจะมีไพ่ที่นอกเหนือจาก Range มาเซอไพรส์เราก็ได้

กลับมาต่อกันที่ตัวอย่างดีกว่า ฟลอปออกมา

Flop ($6.5):  

Villain: Check

Hero: Bet $2

Villain: Call

ฟลอปแบบนี้หวานหมูสำหรับ Hero เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Range หรือ Nut Hand เพราะว่าจากรูป Range รูปแรก Hero สามารถมีตองได้ทั้ง 3 แบบเลย(AA, KK, 33) รวมไปถึง 2 คู่อย่าง AK แต่ในทางกลับกัน มือที่ดีที่สุดที่ Villain สามารถมีได้กลับมีแค่ 33 เท่านั้น(จากรูป Range รูปที่สอง)

จากความเป็นไปได้ของความแข็งของไพ่ในมือที่วิเคราะห์มา ทำให้ในจังหวะนี้ถูกมองว่า Villain ไม่ควรจะ Re-raise หาก Hero C-bet มาใน Board แบบนี้ แต่ถ้า Villain เลือกที่จะ Call ตามมา Range ที่วิเคราะห์ได้ใหม่ก็จะประมาณนี้

bb flop poker calling range

คุณคงจะสังเกตเห็นว่าขนาดในการ Bet ของ Hero ค่อนข้างน้อย(ประมาณ 30%) การ Bet ขนาดเล็กๆมันได้ผลดีถ้าใช้กับ Board ที่ไม่ค่อยเชื่อมกัน(Dry Board) อย่างเช่นในตัวอย่าง เพราะว่า Board แบบนี้ไม่จำเป็นต้อง Bet หนักเพื่อกันพวก Draw ต่างๆ แถม Hero ยังได้เปรียบจาก Raising-Range ของตัวเองอีกต่างหาก

แต่ว่า ถึงแม้มันจะเป็นการ Bet น้อยๆก็เถอะ แต่มันก็ทำให้หลายๆมือใน Range ของ Villain ยอมหมอบไปเหมือนกันนะ เพราะว่าใน Range ของ Villain จะมีมือจำพวก 87s หรือ J9s ที่ไม่สามารถเล่นต่อใน Board ที่มี A-high อยู่ได้ ซึ่งทำให้ในจุดนี้ หากในสถานการณ์ที่ Hero ถือมือที่อ่อนที่สุดใน Range ก็สามารถใช้ Bluff ได้มีประสิทธิภาพมากอยู่ดี เนื่องจากความแข็งของ Range

Turn ($10.50):  

Villain: Check

Hero: Bet $22

Villain: Call

ตรงนี้ Hero เลือกที่จะ Overbet เพื่อทำให้ Range ของทั้งคู่แคบลงให้ได้มากที่สุด ซึ่งในจุดนี้มันเป็นการแสดงให้เห็นถึง Range ที่ชัดเจนของ Hero แล้วว่า Hero มีมือที่แข็งๆอยู่ อาจจะเป็น  AQ หรือ ดีกว่านั้น แต่ไม่นับรวมพวก AA หรือ พวกมืออ่อนๆอย่าง  นะ

ซึ่งพอมาถึงจุดนี้ Villain น่าจะหมอบไปแทบทุกมือนอกเหนือจาก 33 และพวก Ax(เช่น A3, A9, A5) แต่ก็จำไว้หน่อยนะว่า Villain ควรจะหมอบพวกมือ Ax ต่ำๆที่อยู่ใน Range เพื่อหลีกเลี่ยงการ Over-call เวลาเจอกับการ Bet หนักๆ

River ($54.50):  

Villain: Check

Hero: Bet $73 (All-in)

Villain: Call

ด้วยไพ่ River แบบนี้ Hero เลือกที่จะ Over-bet เพื่อทำกำไรให้ได้มากที่สุดจากมือจำพวก Ax ของ  Villain ซึ่งในจุดนี้ Range ในการ Bet เพื่อทำกำไร (Value Bet) จากมือนี้ของ Hero จะประกอบไปด้วย AKs, AKo, A3s, KK และ 33 ซึ่งคำนวณออกมาได้ประมาณ 19 คอมโบ (คอมโบ = มือที่เป็นไปได้ทั้งหมด) ซึ่งตรงนี้ Hero ต้องคำนึงถึง ขนาดในการ Bet ที่ Villain ยอมที่จะ Call และพิจารณาถึงโอกาสที่จะใช้การเล่นครั้งนี้ของตัวเองเป็น Bluff ให้ได้ออกมาอย่างเหมาะสมและสมดุล เพื่อทำให้ไม่ว่า Villain  จะคอลหรือหมอบ ก็ทำให้ Hero ได้กำไรทั้งสิ้น (ถ้ายังงงกับคอนเซปท์นี้ ต้องการศึกษาเพิ่มเติมคลิก : Poker Game Theory ทฤษฎีเกมโป๊กเกอร์ (GTO))

ในจุดนี้ Villain ต้อง Call $73 เพื่อที่จะชนะเงิน $127.50 ซึ่งให้ Pot odds ประมาณ 1.74:1 ดังนั้น Betting-Range ใน River ของ Hero ควรจะมี Bluff 1 ครั้ง ในทุกๆครั้งที่มี Value Hand 1.74 ครั้ง  ซึ่งถ้าเราเอา Value Hand ของ Hero (19 คอมโบ) มาหารด้วย Pot odds ของ Villain (1.74) เราจะได้ 19/1.74 = 10.92

ฉะนั้นแล้ว Hero ควรจะ Bluff ด้วย 10.92 คอมโบ ที่ River เพื่อที่จะทำให้ 19 คอมโบของ Value Hand นั้นสมดุล และทำให้คู่ต่อสู้อ่าน Range และจับทางเรายาก ซึ่งถ้าหากจะ Bluff แนะนำว่ามือพวก  ,   และ  เป็นมือที่ดีที่สุดที่ควรจะใช้ Bluff เพราะมือพวกนี้จะไร้ค่ามากหากปล่อยให้ไปถึง Showdown (โชว์ไพ่ทั้งสองฝ่าย และไพ่ของ Hero ไม่สามารถชนะได้เพราะเป็นเพียงมือที่มีแค่ Q High, หรือ J High เท่านั้น) และมือพวกนี้ยัง Block (ลดโอกาสที่อีกฝ่ายจะถือ) พวกมือ Ax แข็งๆ(AQ, AJ, AT)ใน Range ของ Villain อีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว Hero ต้องใช้ Bluff 7 หรือ 8 คอมโบ หากถือไพ่ Draw แล้วไม่ติด เพื่อทำให้ Range สมดุลและทำให้ Range สำหรับการ Over-bet ที่ River นั้นเดาทางยากขึ้น

การกำหนด Range ให้กับคู่ต่อสู้ทุกครั้งที่มีการตัดสินใจ (Check, Call, Bet) จะช่วยให้คุณจัดการคู่ต่อสู้ได้อยู่หมัดถ้า Board ออกมาแล้วเป็นใจให้คุณ ซึ่งในตัวอย่างนี้ Hero ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบในเรื่อง Range ของตัวเองในช่วง Turn เพื่อทำกำไรเต็มสูบ โดยที่ยังเพิ่มจุดที่ได้เปรียบในการใช้ Bluff สำหรับมือต่อๆไปในอนาคตไปด้วยในตัว

 

การกำหนด Range ไพ่ของคู่ต่อสู้เมื่อเป็นฝ่ายรับ (Preflop Caller)

สมมติคุณกำลังเล่น $1/$2 ออนไลน์โต๊ะ 6 คน (6-max) และมีหน้าตัก 100 Big Blind

Hero ถือไพ่ 2 ใบในตำแหน่ง HJ (Hijack: ตำแหน่งที่ 3 นับถอยหลังจาก Dealer)

UTG Fold

Hero: Raise $5

Villain(CO): 3-bet to $16

3 Fold

Hero: Call

Raising-Range ของ Hero จากตำแหน่ง Hijack ก็จะได้ประมาณนี้

mp rfi poker range
สีแดง = Raise (21.27% ของมือทั้งหมด), สีชมพู = Raise หรือ หมอบ ขึ้นอยู่กระแสของเกมในโต๊ะ, สีน้ำเงิน = หมอบ

ส่วน 3-bet Range ของ Villain ค่อนข้างจะแข็ง ถึงแม้ว่าจะมีการใส่บลัฟเข้าไปบ้างเพื่อทำให้ Range สมดุล ซึ่งก็จะได้ประมาณนี้

co 3-bet poker range
สีแดง = 3-bet, สีชมพู = 3-bet หรือ หมอบ, ส้ม/แดง = 3-bets หรือ Call สำหรับในตัวอย่างนี้ เราจะสมมติว่า Villain มีโอกาสที่จะ 3-bet 50% ด้วยมือสีส้ม/แดง และหมอบทุกมือที่อยู่ในสีชมพู

จากการตัดสินใจตอน Pre-flop แค่ครั้งเดียว ทำให้เราเห็น Range ของ Villain แจ่มแจ้งเลยทีเดียว

ทีนี้ Calling-Range ของ Hero ที่เจอกับ $16 3-bet ก็จะได้ออกมาประมาณนี้

mp flop calling range
สีเขียว = Call, สีเขียวอ่อน = Call หรือ หมอบ ขึ้นอยู่กับนิสัยของคู่ต่อสู้ จากตัวอย่างนี้ เราจะสมมติว่า Hero หมอบทุกมือที่เป็นสีเขียวอ่อน

เห็นความแตกต่างระหว่าง Range ของ Hero กับ Range ของ Villain ไหมครับทุกท่าน

  • Range ของ Hero เต็มไปด้วยมือระดับกลางๆ
  • ส่วน Range ของ Villain จะแบ่งเป็นสองขั้ว คือมือดีมาก หรือบลัฟ (polarized)

พอรู้ถึงความแตกต่างอย่างนี้แล้วก็ทำให้เรารู้ว่า Board แบบไหนที่จะส่งผลดีต่อ Hero และ Board แบบไหนไม่ดี

Flop ($35 

Hero: Check

Villain: ยิง $15

โอ้! Board แบบนี้นี่เกิดมาเพื่อ Hero ชัดๆ เพราะว่า Hero มีข้อได้เปรียบกว่าในเรื่อง Range ถึงแม้ว่าตอน Pre-flop จะเสียเปรียบกว่า Villain ก็เถอะ ซึ่งเราวิเคราะห์โอกาสในการชนะของ Hero เมื่อเจอกับ 3-bet Range ของ Villain ออกมาได้ดังนี้

mp calling range vs co 3-bet range
Range ของ Hero มีโอกาสชนะ 56.84% ต่อ 43.16% เทียบกับ 3-bet Range ของ Villain

ด้วยความที่ Hero กำหนด Range ให้คู่ต่อสู้ เขาก็เลยคิดเอาไว้เหมือนกันว่า Villain จะต้องกำหนด Range ให้เขาเหมือนกัน แน่ๆ อีกอย่างนึงคือ Range ในการ Bet ของ Villain นั้นควรจะแคบลง เพราะตัว Board เองช่วย Hero ให้ได้เปรียบในเรื่องของ Range และ Nut Hand ซึ่งจะทำให้ Hero สามารถที่จะ Check-Raise ได้บ่อยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในจุดนี้ โดยเราได้ใช้โปรแกรม ‘PokerRanger’ สร้างแผนภูมิที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการชนะของแต่ละมือขึ้นมาดังนี้

equity distribution ranges
เปอร์เซ็นต์ที่โชว์ด้านล่างแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการชนะของแต่ละมือเมื่อเจอกับ Range ที่อยู่ตรงกันข้าม

จากตารางก็จะเห็นได้ว่า Villain ไม่มี Nut Hand ใน Range เลย กลับกัน Hero นั้นมีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ไพ่ตอง = 9 คอมโบ, 2 คู่ = 5 คอมโบ, และ Nut-Straight = 4 คอมโบ ซึ่งมือพวกนี้เป็นแค่ประมาณ 20% ใน Range ของ Hero ในช่วง Flop เท่านั้นเอง

มือแข็งๆหลายมือใน Range ของ Villain ดันกลายมาเป็นมือที่ค่อนข้างแย่แทนในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีมือแบบไหนเลยที่จะสามารถทำกำไรได้แบบเต็มสูบ แต่ยังไงก็ตาม การ Bet เพื่อกันพวก Draw ใน Board ที่เชื่อมกันแบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่ง Range ในการ Bet ที่สมเหตุสมผลก็น่าจะได้ประมาณนี้

co flop betting poker range
สีฟ้าอ่อน = Bet, สีเหลือง = Check

มันก็สมเหตุสมผลสำหรับ Villain นะ ที่จะ Bet ด้วยมืออย่าง JJ หรือ TT แต่กลับ Check ด้วยมืออย่าง AA และ KK นั่นก็เพราะมืออย่าง JJ กับ TT มีโอกาสที่จะพัฒนาไปต่อได้มาก แถมยัง Block พวก Nut-straight และเล่นเวลาเจอ Check-Raise ได้ดีกว่า กลับกันในสถานการณ์นี้ AA กับ KK ใช้เล่นเวลาเจอ Check-Raise ได้แย่มาก และการเลือกที่จะ Check มือพวก AA และ KK ใน Board แบบนี้ยังไปช่วยสร้างภาพให้ Check Range ของคุณดูแกร่งขึ้นในอนาคตได้อีกนะ แล้วก็ทำให้เจ็บตัวน้อยลงด้วยหากพลาดมาใน Board ที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้ (เพราะครั้งนี้ถ้า Villain เช็คฟลอปด้วย Overpair อย่าง AA KK ครั้งหน้าคู่ต่อสู้ก็ต้องเกรงใจมั่งล่ะ)

การ Bluff ของ Villain ใน Board แบบนี้ส่วนมากจะเป็น Flush Draw ที่แข็งๆ(เช่น                    ) หรือพวก Straight Draw ที่มี Backdoor Flush Draw(เช่น ) แต่ก็จำไว้หน่อยนะว่าผู้เล่นที่ดีก็จะอาจจะ Check ด้วย Strong Flush Draw เหมือนกัน อย่างที่เห็นด้วยมืออย่าง  และ    ตาม Range ในรูปภาพนั่นแหละ

เราก็จะเห็นแล้วว่า Board แบบนี้มันส่งผลดีต่อ Range ของ Hero แค่ไหน ฉะนั้นแล้ว Hero ก็เลยเลือกที่จะ Check-Raise ด้วย Range ประมาณนี้

hero flop check-raising range
สีฟ้าอ่อน = Raise, สีเขียว = Call, สีน้ำเงินเข้ม = Fold

Range ของ Hero ที่จะใช้ทำกำไรได้ ณ ที่นี้ จะเป็น        , 77, 88, 87s และ 98s รวมทั้งหมด 14 คอมโบ ซึ่ง 9 คอมโบที่จะใช้ในการ Bluff ประกอบไปด้วย Flush Draw, Backdoor Flush Draw, แล้วก็พวก Combo Draw(                    และ ) อย่าลืมนะว่า Hero ป้องกันและทำให้ Calling Range ของเขาให้สมดุลโดยการ Call ด้วยไพ่อย่าง  และ 99 (คอลด้วยไพ่แข็ง เพื่อปกป้องการคอลของตัวเองในอนาคต)

Flop ($35) 9♠ 8♠ 7♣

Hero: Check

Villain: Bet $15

Hero: Raise $50

Villain: Call

เนื่องจาก Villain เลือกที่จะ Call Raise ของ Hero ทำให้ Range ของ Villain นั้นแคบลงมาก ซึ่งเราสามารถเดาได้เลยว่าเขาน่าจะ Call ด้วยมืออย่าง JJ, TT,     หรือ    แต่ Draw อื่นๆอย่าง  หรือ   จะ Call หรือ หมอบ นั้นขึ้นอยู่กับว่าเราคิดว่าคู่ต่อสู้ที่เจอเป็นประเภทไหน หากเราคิดว่าเจอกับ Tight player ก็ควรจะหมอบตามตัวอย่างนี้

Turn ($135) Q♣

Hero: Bet $134 (All-in)

อย่างที่เราได้เห็นแล้วว่า Range ของ Hero นั้นได้เปรียบ เขาก็สามารถ All-in ในช่วง Turn ด้วยมือที่อยู่ใน Check-Raising Range ตอน Flop ได้แทบทั้งหมด ซึ่งคุณสามารถดูโอกาสชนะได้ตามนี้เลย

turn equity range breakdown

แล้วก็ จากที่เราได้กำหนด Range ให้ Villain ก่อนหน้านี้นั้น เราก็สามารถคาดเดาได้ละว่าเขาน่าจะ Call ตามด้วยมืออย่าง  หรือ มือที่มีภาษีดีและพัฒนาต่อได้อย่างคอมโบพวก JJ/TT ที่ไม่ใช่โพธิ์ดำหรือดอกจิก(เพราะ Villain อยากให้ Hero ถือไพ่พวก Flush Draw ที่ไม่ติดคู่ ฉะนั้นแล้วการที่ไม่ได้ Block โพธิ์ดำหรือดอกจิกจะช่วยทำเงินให้เขาได้)

สรุป

จากที่ได้เห็นจากตัวอย่างทั้ง 2 แล้ว มันก็เห็นได้ชัดเลยนะว่าการกำหนด Range เนี่ย ช่วยในเรื่องของกลยุทธ์ของเราใน 2 เรื่องใหญ่ๆด้วยกันคือ

  1. 1. การที่เรากำหนด Range ของคู่ต่อสู้ตาม Board และ การตัดสินใจ (Check, Bet, Call) ในแต่ละครั้งของเขาเนี่ย ทำให้เราได้รู้ว่า พวกเขาอยู่ในจุดที่ Range เสียเปรียบกว่าเนื่องจากไม่มีมือดีๆ และการที่เรากำหนด Range ให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน ก็ยังเป็นการช่วยให้เราได้เห็นข้อได้เปรียบของเราที่มีต่อคู่แข่งชัดเจนยิ่งขึ้น
  2. 2. ถ้าคิดว่า Range ของเรา มีจำนวนมือที่สามารถทำกำไรได้ (Value Hand) อยู่เยอะมาก ตรงจุดนี้เราสามารถนำมาใช้เป็นตัวช่วยในการเพิ่มความแข็งให้กับ Range ของเราเวลาเจอกับ Range ที่อ่อนกว่าของคู่ต่อสู้ได้ ซึ่งการใช้ Range แบบนี้จะช่วยเราในหลายอย่างทั้งการ Bluff ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, Bet เพื่อทำกำไร (Value Bet) ได้ดุดันและหนักขึ้น, และสิ่งสำคัญสุดเลยก็คือการได้กิน Chip คู่ต่อสู้มากขึ้น

ก็ขอฝากให้พวกเราทุกคนได้เอาไปลองใช้กันนะครับ และลองกำหนด Range ให้กับคู่ต่อสู้และตัวคุณเองในทุกๆครั้งที่ตัดสินใจดู การฝึกแบบนี้จะเป็นกุญแจไปสู่การตัดสินใจที่มีแบบแผนและสมเหตุสมผลได้อย่างแน่นอน

ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง Range ได้ที่ Hand Ranges และการคิดแบบ Hand Ranges

 

 

ที่มา : https://upswingpoker.com/poker-range-technique/

 

 

แสดงความเห็น