Pot Odds คืออะไรและมันสำคัญอย่างไร?

Pot Odds คืออะไร

คืออัตราส่วนระหว่างขนาดพอท (Pot) ต่อราคาเงินเดิมพัน (Bet) ที่เราจะต้องจ่ายเพื่อดูไพ่ เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเล่นโป๊กเกอร์ หากปราศจากการใช้ Pot odds ที่ดี ก็จะไม่สามารถเป็นผู้เล่นที่สามารถชนะในระยะยาวได้ ตัวอย่างเช่น มีเงิน $4 อยู่ในพอทและฝ่ายตรงข้ามลงเงินมาเพิ่มที่ $1 ในสถานการณ์นี้เราจะต้องเสี่ยงจ่ายเงินที่ราคา 1 ใน 5 ส่วนของพอทเพื่อชนะเอาเงินพอทนี้ไป

หลักการใช้มี 2 ส่วนคือ

1. คำนวณหาโอกาสชนะของไพ่ในมือ (Odds and Outs) เราให้ได้

2. คำนวณหาราคาเงินกองกลาง (Pot) เพื่อใช้เทียบกับส่วนแรกว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยงหรือไม่ในระยะยาว

การคอล (Call) ที่ราคา $1 เพื่อเสี่ยงชนะพอทราคา $5 จะแทนเป็นอัตราส่วนเท่ากับ 5:1 หรือหากเราต้องจ่าย $1 เพื่อเสี่ยงชนะพอทราคา $10 เราก็จะมีอัตราส่วนเท่ากับ 10:1 หรือถ้าจ่าย $3 เพื่อเสี่ยงชนะพอท $9 เราก็จะแทนได้ 3:1

(หมายเหตุ : ราคาพอทที่กล่าวถึงหมายถึงเงินที่ลงไปก่อนหน้าแล้วรวมกับราคาที่กำลังจะลงเพิ่มในรอบการเล่นปัจจุบัน) เมื่อเราหา Pot odds ได้แล้ว ต่อไปเราก็จะต้องหาโอกาสที่เราจะติดไพ่ที่เราต้องการ (Odds and Outs) เพื่อให้เราชนะพอทนั้น

Odds and Outs (โอกาสชนะและไพ่ที่ยังเหลืออยู่)

นักเล่นโป๊กเกอร์อย่างเราๆ น่าจะรู้วิธีคำนวณหาโอกาสชนะของไพ่ในมือเรา (Odds) โดยอิงจากไพ่ที่ยังเหลืออยู่ในสำรับ (Outs) กันแล้ว หรือถ้าเป็นมือใหม่และยังไม่รู้วิธีคำนวณ เราก็ได้เตรียมตาราง Odds and Outs เอาไว้ให้แล้ว

ตาราง: Odds and outs ในช่วงฟลอบ (Flop) เทิร์น (Turn) และริเวอร์ (River)

ตาราง Odds and Outs
ตาราง Odds and Outs

หรือมีวิธีที่ง่ายกว่านั้นก็คือ กฎ 2 และ 4 (Rule of Two and Four)

กฎ 2 และ 4 (Rule of Two and Four)

การเล่นโป๊กเกอร์บางครั้งก็ยุ่งยากและเราก็ไม่มีเวลามากพอที่จะคำนวณทุกอย่างให้เป๊ะๆ ตามตำรา เราถึงต้องหาวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราคำนวณได้ใกล้เคียงที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด กฎ 2 และ 4 จึงถูกนำมาใช้ในการคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ชนะของไพ่ในมือเราเพื่อให้เราตัดสินใจว่าจะ คอล (Call) เกทับ (Raise) หรือ หมอบ (Fold)

กฎ 2 และ 4 มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อฟลอบ (Flop) ออกมา ให้เรานับ Outs ทั้งหมดที่เราคิดว่ายังเหลืออยู่แล้วนำไปคูณ 4 เพื่อหาโอกาสที่ไพ่เราจะพัฒนาในช่วงเทิร์น หรือนำไปคูณ 2 เพื่อหาโอกาสที่จะพัฒนาตอนริเวอร์

จำง่ายๆว่า นำ Outs ไปคูณ 4 ถ้ายังเหลือโอกาสดูไพ่อีก 2 ใบ (ช่วงFlop) หรือ คูณ 2 ถ้าเหลือโอกาสดูแค่ใบเดียว (ช่วงTurn)

ตัวอย่าง : คุณถือ  ในฟลอบ  คุณเดาว่าคู่ต่อสู้จะถือไพ่ประมาณ  หรือก็คือมี 1 คู่ เพราะฉะนั้น ณ ตอนนี้คุณต้องติดไพ่เรียง (Straight) ถึงจะชนะ ซึ่งในจุดนี้คุณยังเหลือ ไพ่ควีน 4 ใบ และ ไพ่เจ็ด 4 ใบ เพื่อทำให้เป็นไพ่เรียง รวมทั้งหมด 8 Outs ที่คุณยังเหลืออยู่

เราสามารถนำกฎ 2 และ 4 มาใช้หาเปอร์เซ็นต์ในการชนะมือนั้นได้คือ:

ช่วงฟลอบ (เหลือโอกาสดูไพ่ 2 ใบ) : 8*4= 32%

ช่วงเทิร์น (เหลือโอกาสดูไพ่ 1 ใบ) : 8*2= 16%

อันนี้ก็เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ถึงจะไม่ได้เป๊ะแต่ก็ใกล้เคียงพอที่จะสามารถนำไปใช้จริงในการเล่นได้ ทีนี้เราก็รู้หลักการครบแล้วทั้ง 2 ส่วน ต่อไปก็ถึงเวลาคำนวณ Pot Odds ว่าคุ้มที่จะเล่นมือนั้นหรือไม่

การคำนวณ Pot Odds

ทุกคนคงทราบวิธีหา Odds and Outs กับ ราคาพอทกันเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ คำนวณว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนในมือนั้นหรือไม่ในระยะยาว

ภาพประกอบ 1

ภาพประกอบ Pots Odds 1

จากภาพจะเห็นได้ว่า เราเหลืออีก 9 Outs เพื่อให้ติดฟลัชที่สูงที่สุด (Nut Flush) ดังนั้นโอกาสที่เราจะติดฟลัชในช่วงริเวอร์จะมีเกือบๆ 20% หรืออัตราส่วนคือ 4:1 (ตามตารางที่ให้หรือใช้กฎ 2 และ 4) ราคาพอทตอนนี้อยู่ที่ $450 และผู้เล่น 1 ลงเงินมาเพิ่มอีก $150 ไปรวมกับพอทจะได้ทั้งหมด $600 ซึ่งหากเราจะตามไปดูไพ่ เราต้องจ่าย $150 เพื่อเสี่ยงชนะพอทราคา $600 เราก็จะหาความคุ้มค่าของพอทอย่างง่ายๆ ได้โดย 600/150= 4 ดังนั้นเราจะมีอัตราส่วนที่ 4:1

หรือบางคนใช้แบบอัตราส่วนไม่ถนัด ก็สามารถใช้เป็นเปอร์เซ็นต์ได้โดยการนำราคาที่เราจะใช้คอลตาม ไปรวมกับราคาพอท ซึ่งในตัวอย่างนี้คือ 150+600= 750 จากนั้นนำไปเข้าสูตรคือ ราคาคอลตาม/ราคาพอทรวม ก็จะได้ 150/750= 0.2 หรือ 20%

ทีนี้เราก็รู้ว่าความคุ้มค่าของพอทแล้วคืออัตราส่วน 4:1 หรือ 20% และตามตัวอย่างเรามีโอกาสประมาณ 20% ที่จะติดฟลัชและชนะได้พอทไป ทำให้ในสถานการณ์นี้อัตราส่วนความคุ้มค่าและโอกาสชนะของไพ่เรามีเท่ากัน  ซึ่งการที่ทั้งสองเท่ากันนั้นหมายความว่าการเล่นแบบนี้ของเราในระยะยาวจะไม่ได้กำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน (Break-even) แต่สมมติว่าราคาพอทนั้นแพงขึ้นกว่าเดิมหน่อย หรือราคาที่เราคอลตามนั้นถูกลงอีกนิดก็จะทำให้เราได้กำไรแทนในระยะยาว หรืออีกสถานการณ์หนึ่งคือ เราเชื่อว่าหากติดไพ่ Ace หรือ King ตอนริเวอร์จะช่วยให้เราชนะ (มี Outs เพิ่มอีก 6 ทำให้โอกาสชนะเพิ่มเป็น 15 Outs= 30% ซึ่งมากกว่าอัตราส่วนความคุ้มค่าของพอททำให้การเล่นในระยะยาวจะได้กำไร)

ภาพประกอบ 2

ภาพประกอบ Pots Odds 2

ในตัวอย่างนี้เรารอได้ทั้งไพ่เรียงและฟลัช ซึ่งหมายความว่าเราเหลืออีก 15 Outs ซึ่งโอกาสติดในช่วงเทิร์นคือ 31.9% หรืออัตราส่วน 2.13:1 พอทมีราคา $36 ($24+$12) และหากเราจะเสี่ยงก็ต้องจ่ายอีก $12 เพื่อตามไปดู

เราสามารถคำนวณได้ดังนี้ Pot odds คือ $36 (ราคาพอทรวม)/$12 (ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อดู)= 3 นั่นก็คืออัตราส่วน 3:1 หรือ 25% ซึ่งหมายความว่าเราจะชนะ 1 ครั้งทุกๆ การเล่นแบบนี้ 4 ครั้ง ทีนี้เทียบกับโอกาสชนะของไพ่เราคือ 31.9% ทำให้มือนี้ควรจะคอลตามเนื่องจากอัตราส่วนความคุ้มค่าต้องการไพ่ที่มีโอกาสชนะอย่างน้อยแค่ 25% เพื่อให้อยู่ในจุดคุ้มทุน แต่ไพ่เรามีโอกาสชนะถึง 31.9% ทำให้เราสามารถตามได้โดยได้กำไรในระยะยาว

ภาพประกอบ 3

ภาพประกอบ Pots Odds 3

ตามภาพที่ 3 คู่ต่อสู้ลงเงินเกินกว่าพอท (Overbet) ซึ่งให้ค่าอัตราส่วนความคุ้มค่าของพอทที่ไม่ดีแก่เรา ทำให้เราไม่ควรจะคอลในสถานการณ์นี้เนื่องจากอัตราส่วนตอนนี้เปลี่ยนมาเป็น 1.8:1 (108/60) หรือ 35.7% ส่วนโอกาสชนะของไพ่เราคือ 2.07:1 หรือ 32.6% ซึ่งไม่คุ้มค่าหากจะคอลตามในระยะยาว หากจะคอลต้องควรให้ราคาพอทแพงกว่านี้หรือคู่ต่อสู้ลงเงินน้อยลงหน่อย

สรุป

การรู้วิธีใช้ Pot odds ในโป๊กเกอร์นั้นจำเป็นอย่างมากหากเราอยากพัฒนาไปสู่ผู้เล่นที่สามารถทำเงินในระยะยาว เพียงแค่สละเวลามาเรียนรู้หลักการเพียงนิดหน่อยก็สามารถช่วยประหยัดเงินของเราและทำให้ได้เปรียบเหนือผู้เล่นคนอื่นๆอีกมากที่ยังเล่นกันตามสัญชาตญาณที่เชื่อว่าจะติดไพ่ดีๆโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว

 

Credit: http://www.pokerology.com/lessons/pot-odds/

https://www.pokerstarsschool.com/article/Pot-odds-and-expected-value

 

 

แสดงความเห็น