Exploitative หรือ GTO สไตล์ไหนใช้ได้ดีกว่ากัน
Exploitative หรือ GTO สไตล์ไหนใช้ได้ดีกว่ากัน
หัวข้อนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากในวงการโป๊กเกอร์ระหว่างการเล่นแบบ Game Theory Optimal (GTO) กับการเล่นแบบค้นหาจุดอ่อนเพื่อเอาเปรียบอีกฝ่าย (Exploitative Play) แบบไหนจะดีกว่ากัน วันนี้เราจึงอยากจะนำข้อดีข้อเสียของทั้งสองแบบมาให้ได้ทราบเพื่อให้ดูว่าแต่ละแบบจะมีผลดีผลเสียและนำไปใช้ในสถานการณ์ได้แตกต่างกันอย่างไร
แต่ก่อนจะไปดูข้อดีข้อเสีย เรามาดูความหมายของทั้งสองแบบเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน
GTO คืออะไร
GTO คือการเล่นให้ Balance เพื่อปกปิดจุดอ่อนพร้อมทำกำไร ซึ่งถ้าสามารถเล่น GTO ของแท้ได้จะไม่มีทางโดนอีกฝ่าย Exploit เลย เพราะปิดจุดอ่อนหมดทุกอย่าง อีกฝ่ายจะไม่สามารถทำกำไรจากเราได้ อย่างมากสุดก็ได้แค่เท่าทุน
แค่คิดก็สุดยอดแล้ว แต่เอาเข้าจริงการใช้ GTO ก็มีปัญหาในการเล่นเหมือนกัน
ปัญหาของการเล่นแบบ GTO
ไม่ว่าคุณจะเล่นได้ Balance ขนาดไหน มันก็จะมีจุดอ่อนที่เผยออกมาให้อีกฝ่ายเล่นงานอยู่เสมอ
GTO ของแท้จะต้องเล่นทุกอย่างได้เพอร์เฟ็คถึงจะสามารถปกปิดจุดอ่อนได้ แต่มนุษย์อย่างเราๆไม่สามารถเล่นให้เป๊ะๆแบบนั้นได้หรอกถ้าไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยคำนวณ
ตอนนี้เราทำได้ดีที่สุดก็คือจำลองการเล่น GTO โดยเพียงแค่นำหลักการมาปรับใช้เพื่อเล่นให้มีจุดอ่อนน้อยที่สุด
แต่การเล่นแบบนั้นจะทำให้คุณพลาดในการสังเกตและเก็บข้อมูลผู้เล่นซึ่งทำให้คุณเสี่ยงเหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพยายาม Exploit เราอยู่หรือเปล่า
ข้อดีของ GTO
- GTO จะโดน Exploit ยาก
จากที่บอกไปแล้วว่าเป้าหมายของการเล่น GTO คือเป็นการปิดจุดอ่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่าย Exploit เราได้ นั่นจึงทำให้กลยุทธ์นี้พึ่งพาได้ถ้าเราเล่นได้เพอร์เฟ็ค ตัดสินใจได้ถูกต้องทุกครั้งและช่วยการันตีความสำเร็จในระยะยาวแน่นอน
- GTO ใช้สู้กับใครก็ได้
GTO จะช่วยให้เราต่อกรได้แทบทุกคน โดยเฉพาะพวกที่เล่นเก่งๆแข็งๆ
แต่ก็มีบางพวกที่เล่นแปลกๆไม่เหมือนชาวบ้านที่เราต้องมาปรับกลยุทธ์หน่อย ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่เพราะพวกนี้เราสามารถสังเกตจุดอ่อนของพวกเขาได้ง่ายๆและปรับกลยุทธ์ได้ทันที
- GTO คือกลยุทธ์ยืนพื้นที่เพอร์เฟ็คที่สุด
ไม่ว่าจะ GTO หรือ Exploitative ก็คงได้ยินกันบ่อยๆว่าเราต้องปรับกลยุทธ์ (Adjust) ซึ่งก่อนที่จะไปปรับกลยุทธ์ตามการเล่นของอีกฝ่ายได้นั้นเราต้องมีแผนยืนพื้นหรือแผนตั้งต้นของเราก่อน
ซึ่ง GTO เป็นตัวเลือกเดียวเลยที่ควรจะใช้มาเป็นแผนการเล่นตั้งต้นของเรา เพราะอย่างที่บอกว่ามันยากที่จะโดน Exploit และใช้ต่อกรได้แทบทุกคนที่เจอ
ข้อเสียของ GTO
- GTO บางครั้งก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ใช้ทำเงินได้สูงสุด
การเล่น GTO บางครั้งต้องยอมทิ้งโอกาสทำกำไรงามๆไปเพื่อต้องการเล่นให้ Balance ซึ่งส่วนใหญ่โดยเฉพาะใน Stakes ต่ำๆที่ผู้เล่นไม่ได้เก่งมากและเล่นมีจุดอ่อนให้ Exploit อยู่เยอะ เราไม่จำเป็นต้องใช้ GTO เลย
ลองคิดดูว่าถ้าเจอกับผู้เล่นที่ชอบ Call ตามด้วยไพ่อ่อนๆ เราจะยังไปคอย Bet เบาๆหรือ Bet ผสมๆเพื่อให้ Balance อยู่ทำไมในเมื่อสามารถ Bet หนักๆทุกครั้งเพื่อทำกำไรให้เต็มพิกัดได้
ซึ่งตรงนี้แหละที่ Exploitative เข้ามามีผล
Exploitative Play คืออะไร
การเล่นโดยใช้กลยุทธ์แบบ Exploitative ก็คือการที่คุณพบว่าอีกฝ่ายเล่นได้ไม่ Balance จึงใช้ประโยชน์จากจุดนั้นเพื่อให้ได้เปรียบ
หรือพูดง่ายๆก็คือ เน้นหาจุดอ่อนคู่ต่อสู้ให้พบและโจมตีไปที่จุดอ่อนนั้น
แต่แน่นอนว่ามันก็เหมือนกับดาบสองคม การที่เราไปโจมตีที่จุดอ่อนของอีกฝ่าย ถือเป็นการเล่นที่ไม่เป็นไปตามหลัก GTO ซึ่งทำให้การเล่นเราไม่ Balance เหมือนกันซึ่งจะทำให้เรามีจุดอ่อนที่อีกฝ่ายสามารถใช้โต้กลับมาได้เช่นกัน
ปัญหาของการเล่นแบบ Exploitative
อย่างที่บอกไปว่าการที่เราไป Exploit จุดอ่อนอีกฝ่ายก็เป็นการเปิดประตูให้อีกฝ่าย Exploit เรากลับได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีสติคอยสังเกตพฤติกรรมและเก็บข้อมูลอีกฝ่ายอยู่เสมอเวลาใช้สไตล์ Exploitative เพราะถ้าอีกฝ่ายตามเกมเราทัน เขาจะสามารถปรับกลยุทธ์ (Adjust) และโต้กลับใส่คุณได้ เราก็ต้องมานั่งปรับกลยุทธ์ใหม่เพราะกลายเป็นฝ่ายโดนซะเองอีก ซึ่งทำให้การเล่นสไตล์ Exploitative จะมาพร้อมกับความผันผวนที่สูงกว่า ตรงนี้จึงเป็นข้อเสียหลักๆเลย
เอาจริงๆมันก็เหมือนกับการมานั่งเดาอีกฝ่ายจากข้อมูลนั่นแหละ เพราะเราตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลและสมมติฐานที่เราตั้งขึ้นเกี่ยวกับการเล่นของอีกฝ่าย ถ้าเราเกิดอ่านพลาดและเล่นผิดขึ้นมาจึงทำให้เสียหายหลายแสน
การปรับกลยุทธ์ในสไตล์ Exploitative
การเล่นสไตล์ Exploitative ต้องลื่นไหล อย่างที่บอกไปว่าถ้าเราไม่เล่นตามหลัก GTO จะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย Exploit เราได้และการที่จะหลีกเลี่ยงการโดนแบบนั้น เราต้องพร้อมที่จะปรับกลยุทธ์ตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
ลองคิดภาพคุณเจออีกฝ่ายที่มีโอกาสหมอบ 80% เวลาเจอ C-bet ใส่ เราสามารถ Exploit อีกฝ่ายได้โดยการปรับ Range ที่ใช้ C-bet ของเราให้เป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ
- C-bet ด้วยไพ่ที่มีโอกาสโดนพลิกสูงหรือเวลาไม่ติดไพ่อะไรเลยเพื่อใช้ประโยชน์จากการที่อีกฝ่ายหมอบบ่อยๆ
- Check มากขึ้นเวลาติดไพ่ดีๆเพื่อยื้อไม่ให้อีกฝ่ายยอมหมอบและออกจากพอทไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าอีกฝ่ายตามเกมเราทันและรู้ว่าเราวางแผนไว้แบบนี้ เขาก็สามารถปรับกลยุทธ์กลับมาโต้ตอบคุณได้ประมาณนี้ (Re-adjust)
- Call ตรง Flop ให้มากขึ้นด้วยไพ่ที่ไม่ได้ดีอะไรมาก (เช่น Second Pair)
- Check-Raise เพื่อ Bluff ให้มากขึ้นตรง Flop
- Bet หนักๆนำมาก่อนเลยตรง Turn ด้วยไพ่ดีๆ (Probe Bet)
- วางกับดัก Check ตรง Turn ด้วย Nut เพื่อจะ Check-Raise
ซึ่งทำให้เราต้องมาปรับกลยุทธ์เพื่อรับมืออีกฝ่ายอีกรอบนึง นั่นทำให้การปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการเล่นสไตล์ Exploitative และจะยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีกเมื่อคุณไปเล่นใน Stakes ที่สูงขึ้น
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องระมัดระวังในการปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าเรามีข้อมูลอีกฝ่ายน้อยหรือเป็นข้อมูลที่เราคิดเองเออเอง
สรุปใช้มันทั้งคู่นี่แหละดีที่สุด (Mixed Strategy)
ในเมื่อทั้งสองต่างมีข้อดีข้อเสีย เราก็จับเอาข้อดีมารวมกันให้กลายเป็น Mixed Strategy ซะเลย
พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเรายังอ่านอีกฝ่ายไม่ออกหรือไม่มีข้อมูลที่แน่นอน ให้เราใช้ GTO เป็นแผนในการเล่นยืนพื้นไปก่อน เพราะเราสามารถต่อกรได้แทบทุกคนและยากที่จะโดน Exploit
พอเล่นผ่านไปสักพักเราก็จะเริ่มเห็นจุดอ่อนหรือพฤติกรรมบางอย่างที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเล่นได้ไม่ดี ตรงนี้แหละที่เราจะนำเอา Exploitative Play เข้ามาใช้เพื่อปรับให้กลยุทธ์เราได้เปรียบอีกฝ่าย
แต่ก็อย่าลืมสังเกตว่าอีกฝ่ายตอบโต้กับการปรับกลยุทธ์ของเราอย่างไรและเตรียมพร้อมในรุกรับพลิกผันอยู่เสมอ ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ให้กลับไปยืนพื้น GTO แล้วมา Adjust กันใหม่