วิธีเล่น Deep Stack กลยุทธ์และการปรับตัวเพื่อทำกำไรให้สูงที่สุด

วิธีเล่น Deep Stack กลยุทธ์และการปรับตัวในการเล่น

หลายๆคนคงเจอปัญหาเวลาเล่น Deep Stack หรือ หน้าตักหนาๆ (150BB+) แล้วรู้สึกเครียดหรือตัดสินใจยากๆในหลายจังหวะ ในบทความนี้ก็จะช่วยให้เราปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือได้ดีขึ้น โดยจะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ

  • การปรับ Bet Size ในช่วง Pre-flop เมื่อเราเล่น Deep Stack
  • การเลือก Range ไพ่ที่ถูกมาใช้ 3-bet และ 4-bet เมื่อเราเล่น Deep Stack
  • การปรับแผนช่วง Post-flop เมื่อเราเล่น Deep Stack

1. การปรับ Bet Size ในช่วง Pre-flop

จริงๆการ Open-Raise จะไม่ได้ปรับเรื่อง Size เลย ถ้าปกติเวลาเล่นหน้าตัก 100BB แล้วเรา Open-Raise 2.5BB ก็ให้ใช้ราคาเดิม หรือ ถ้าปกติ Open-Raise 4BB ก็ให้ใช้ 4BB เหมือนเดิม

นอกจากนี้ราคาที่ใช้ 3-bet เวลาเรามีตำแหน่งที่ดีกว่าก็ให้ใช้เหมือนเดิมเช่นกัน เพราะเมื่อเราเป็นคน 3-bet และมีตำแหน่งที่ดีกว่า เราจะได้เปรียบอีกฝ่ายไปตลอดทั้งแฮนด์นั้นและอีกอย่างคือ เราอยากใช้ความได้เปรียบตรงนี้มาเล่นกับอีกฝ่ายในสถานการณ์ที่มีค่า SPR สูงด้วย (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง SPR)

แต่กลับกัน ถ้าเรามีตำแหน่งแย่กว่า เราควรจะ 3-bet ด้วยราคาที่สูงขึ้น สมมติถ้าอีกฝ่ายมี 200BB และ Open-Raise มา 2.5BB หากเราจะ 3-bet ก็ให้ใส่ไปเลย 11BB แทนที่จะใส่ราคามาตรฐาน 9BB หรือจะใส่มากกว่านี้ก็ได้ขึ้นอยู่กับความ Deep ของเราและอีกฝ่าย

4-bet ก็เช่นกัน ถ้าตำแหน่งดีกว่าให้ใช้ราคาเท่าเดิม แต่ถ้าตำแหน่งแย่กว่าก็ให้ปรับราคาสูงขึ้น

2. Range ในการ 3-bet เวลา Deep Stack

เวลาเรา 3-bet ในตำแหน่งที่ดีกว่า เราก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน Range อะไรเลย จะมีก็แต่อีกฝ่ายที่ตำแหน่งแย่กว่าที่ต้องปรับ

แต่ถ้าเราจะ 3-bet ในตำแหน่งที่แย่กว่า เราต้องมาปรับอะไรนิดหน่อยดังนี้

อย่างแรกเลยคือ เราต้อง Polarize Range ไพ่ของเราให้มากขึ้น เพราะเราใช้ราคา 3-bet ที่สูงขึ้น เราจึงควรจะหลีกเลี่ยงการเล่นพอทใหญ่เกินไปด้วยไพ่ระดับกลางๆ

(เสริมเรื่อง Polarize Range จากผู้แปล: เป็นการแบ่ง Range ไพ่ให้เป็น 2 ขั้ว คือ การตัดไพ่ระดับกลางๆออกแล้วเลือกไพ่ที่แตกต่างกันสุดขั้วมาเล่นอย่างเดียว เช่น เราสร้าง Range 3-bet ด้วยขั้วแรกคือ AA,KK,QQ,JJ,AK หรือ ขั้วสองคือ 65s, 78s, 910s จะไม่มีการนำไพ่กลางๆพวก KQ KJ มาเล่น ซึ่งจะทำให้เราเล่นในพอท 3-bet ได้ง่ายขึ้น)

อย่างที่สองคือ เราควรจะ 3-bet ด้วยพวก Suited Connector ให้มากขึ้นเพื่อให้ Range ไพ่เราครอบคลุมได้ทุกบอร์ดซึ่งจะเป็นการปกปิดจุดอ่อนของ Range 3-bet โดยทั่วไปของเรา เพราะคุณคงไม่อยากต้องโดนบีบให้ Call 200BB ตรงริเวอร์ด้วย Overpair บนบอร์ด 6♦ 5♣ 2♠ T♦ 3♣ หรอก ซึ่งถ้าเรามี Range ของพวกไพ่ตัวเลขด้วย อีกฝ่ายก็จะหวั่นๆเราอยู่แหละ

ส่วนพวกไพ่ Ax สีเดียวกันก็นำมา 3-bet ได้เหมือนเดิม เพราะถ้าเจอสถานการณ์ Flush เจอ Flush ยังไงเราก็กินเต็มแน่นอน

(เพิ่มเติม: จากการใช้โปรแกรม Poker Snowie คำนวณ เรายังสามารถใช้ Range ในการ 3-bet ตรง Pre-flop ตอนเล่น 100BB ได้จนถึงระดับ 300BB+ แต่ในมุมมองของผู้เล่นที่เป็นมนุษย์ เรามองว่าการที่ 3-bet Tight ขึ้นจะเล่นช่วยให้เล่นพลาดน้อยลงเวลาเจอสถานาการณ์ยากๆ)

3. Range ในการ 4-bet เวลา Deep Stack

จริงๆเวลา Deep Stack การ 4-bet ก็จะไม่ค่อยจะได้ใช้เท่าไหร่ไม่ว่าจะตอนตำแหน่งที่ดีกว่าหรือแย่กว่า ด้วยเหตุผลดังนี้

เวลาเราโดน 3-bet แล้วมีตำแหน่งที่ดีกว่าอีกฝ่าย เราควรจะ Call ให้มากขึ้นเพราะเราจะได้เล่น Post-flop ในสถานการณ์ที่ SPR สูงและอีกฝ่ายมีตำแหน่งแย่กว่า เพราะฉะนั้น การ Call ด้วยไพ่ Premium ที่ต่ำกว่า KK (QQ, AK) ถือว่าเป็นการเล่นที่โอเคเลย

หรือถ้าเราโดน 3-bet แล้วมีตำแหน่งที่แย่กว่าอีกฝ่าย เราก็ต้องการแค่ลดความเสียหายให้น้อยและป้องกันไพ่ของเราเฉยๆ เพราะฉะนั้น การ Call ด้วยไพ่ Premium ที่ต่ำกว่า KK (QQ, AK) ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

หรือบางทีเราอาจจะเลือก Call ตามโดยไม่ 4-bet พวก AA กับ KK ก็ได้นะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรา Deep ขนาดไหนและอีกฝ่ายเล่น Post-flop ดุดันแค่ไหน เราควรจะ 4-bet พวก AA กับ KK ให้น้อยลงเวลาเรา Deep มากขึ้น โดยเฉพาะเวลาเจอผู้เล่น Aggressive ที่ชอบ Bet บ่อยๆเวลาเล่น Post-flop

4. การปรับแผนช่วง Post-flop

เราควรจะปรับแผนช่วง Post-flop ก็ต่อเมื่อ เราเล่นในพอท 3-bet โดยที่คน Open-Raise Pre-flop มีตำแหน่งที่แย่กว่า

เพราะเรามี Deep Stack ในพอทขนาดใหญ่ เราจึงควรจะเล่นแบบเน้นป้องกันมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราควรจะ Check หรือ Call ให้บ่อยขึ้น และ Bet หรือ Check-Raise ให้น้อยลง ตรงนี้จะเป็นการปรับแผนที่ดีมากเวลาเจออีกฝ่ายที่ Aggressive แล้ว Bet ใส่เราบ่อยๆ

สรุป วิธีเล่น Deep Stack

การเล่น Deep Stack ดูเหมือนจะยาก แต่เราก็สามารถเล่นให้สบายๆได้ขึ้นโดยอยู่กับว่าเราจะวางแผนตัวเองยังไงในช่วง Pre-flop เพื่อให้ตัวเองเล่นได้ดีที่สุดตอน Post-flop ซึ่งถ้าได้ปรับแผนตามที่บอกไปในบทความนี้ รับรองว่าคุณจะเล่นได้ง่ายขึ้นและทำให้อีกฝ่ายคิดหนักแน่นอน

 

Source

แสดงความเห็น