ถามมาตอบไป – ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับโป๊กเกอร์

9 เก กับ โป๊กเกอร์ ต่างกันอย่างไร?

Q – ผมไม่รู้ว่าเกมส์ โป๊กเกอร์ มันจะเหมือนกับเล่นเผ หรือ 9 เก หรือเปล่า แต่คิดว่าเป็นการเล่นโดยประเมินไพ่ในมือเราว่า สูงกว่าไพ่ในมือคนอื่นหรือเปล่า แล้วใช้วิธีเกเงินเข้ากองกลาง คนที่ถือไพ่ไม่ดีก็หมอบไปก่อน ส่วนคนที่ถือไพ่หน้าดี มีลุ้นก็จะมักจะตาม จนถึงการเกเงินจำนวนมากๆ คนที่ไม่มั่นใจหรือกลัวไพ่ที่ตัวเองถือสู้ไม่ได้ก็จะหมอบ ซึ่งบางที คนที่เกทับมาอาจถือไพ่ต่ำกว่าคนที่หมอบก็ได้ เรียกว่า เป็นการไล่ให้หมอบ

A – 9 เกผมเคยเล่นครับ คล้ายๆ กัน แต่ความซับซ้อนจะน้อยกว่ามากๆ เพราะ 9 เก เกได้รอบเดียว แล้วเปิดเลย แต่ Poker จะเกหลายรอบ
รอบแรก Preflop คือทุกคนเห็นแค่ไพ่ในมือตัวเอง 2 ใบ
รอบสอง Postflop คือ หลังจากเปิดไพ่กองกลาง 3 ใบ
รอบสาม Turn คือ เปิดใบที่ 4
รอบสี่ River คือ เปิดใบที่ 5
ด้วยรอบการตัดสินใจที่เยอะขนาดนี้ ทำให้สถานการณ์ที่เป็นไปได้มันแตกแขนงออกไปเยอะ กลยุทธ์การต่อสู้มันเลยต้องมากตาม ใน Poker มีสิ่งที่เรียกว่า Position คือตำแหน่งที่ตัวเองนั่งอยู่บนโต๊ะ มันสำคัญมาก เพราะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะได้เล่นก่อนหรือหลัง ถ้าได้เล่นหลัง ถือว่าได้เปรียบมากๆ เพราะเราจะเห็นพฤติกรรมของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดี เราหนีก่อน เวลาเสียจะเสียน้อย แต่เวลาติดไพ่ เราจะดึงเงินได้มากกว่า เพราะเรา Position ดีกว่า เรียกว่า Playing player / Playing Position (ต่างกับ 9 เก เพราะมันเกตาเดียว ทำให้ Position ไม่สำคัญมากนัก)

อย่างการไล่ให้หมอบ มีครับ แต่อย่างที่บอก รอบเกมันเยอะ ต้องวางแผนล่วงหน้าเลย ถ้าเราเกหนัก Preflop เราต้องคิดด้วยว่าเค้ากล้าตามมารึเปล่า ถ้ากล้าจะทำยังไง เพราะถ้าเกหนักแต่แรก พอเปิดกองกลางมา 3 ใบ เงินกองกลางจะค่อนข้างสูง ทำให้เงินที่เราจะใช้เดิมพันต้องสูงไปด้วย (เช่น กองกลาง 100$ ถ้าเราเกทีละ 20$ ไม่มีทางหมอบแน่ๆ จะมีหรือไม่มีเราต้องเกประมาณ 40-50$ ขึ้น แล้วรอบหลังจากนั้นอีกล่ะ กองกลางจะใหญ่ขึ้นอีกทวีคูณ ถ้าวางแผนไม่ดี เสียหายหนัก)

 

เล่นแบบเซียนโค่นเซียนได้มั๊ย?

Q2 – แต่กติกา Poker เท่าที่ไปอ่านดู จะกำหนดเงินที่เก สูงสุดไว้ว่าไม่เกินเท่าไหร่ หากเป็นจำนวนเงินไม่สูงก็จะไม่มีผลที่จะไล่ให้คู่แข่งหมอบได้ แต่หากเป็นจำนวนเงินที่มาก ( อย่างในหนังจีน เซียนโค่นเซียน ที่เกทับกันแบบหมดตัว เดิมพันชีวิตในตาเดียว ) ผลกระทบกับการตัดสินใจมันจะไปในอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ปกติแน่นอน

A2 –ในหนังมันก็เวอร์ไปครับ 55 แรกเริ่มเค้าจะมีกำหนด Stake ที่โต๊ะเริ่มเล่น เรียกว่าSmall Blind / Big Blind ครับ แต่ก่อนประมาณกว่าสิบปีที่แล้ว ยังไม่มีแบบเล่นออนไลน์ ถ้าเล่นตามห้องในอเมริกา ต่ำสุดจะอยู่ที่ 1/2$ แต่ตอนนี้พอมีห้องออนไลน์ ต่ำสุดแค่ 0.01/0.02$

ทีนี้เค้าจะกำหนดหน้าตักเป็นเท่าๆของ Big Blind เช่นถ้าเล่น 1/2$ โดยปกติมักจะต้องมีหน้าตัก 200$ (ร้อยเท่า) ถ้าจะมีน้อยกว่านี้ก็ได้ อยู่ที่โต๊ะให้ต่ำสุดเท่าไหร่ เช่น 50 เท่า หรือ 80 เท่า แต่มันจะเสียเปรียบ เพราะเวลาเราติดไพ่ดีๆ เราจะดึงเงินจากคู่ต่อสู้ได้ไม่เต็มที่

พอกำหนดเป็นเท่าๆ แบบนี้ก็ไม่มีปัญหาว่าจะไม่หมอบแล้วครับ ปัญหาอยู่ที่ Stake ที่เล่นมากกว่า แค่ 0.10/0.25$ นี่ก็เครียดจะแย่แล้วสำหรับผม Professional Player ที่หากินทางนี้นั่งเล่นกันเต็มห้อง ไม่ต้องห่วงเรื่องจะไม่หมอบ แต่ถ้า 0.01/0.02$ อันนี้พวกเกรียนกะพวกหัดเล่นเยอะแน่พวกนี้มักจะติดนิสัยชอบดูไพ่ เกหนักมักไม่ค่อยหมอบ เพราะคิดเป็นตัวเงินมันน้อย กลยุทธ์เราก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย คือ เล่นงานเฉพาะตอนที่เรามี ยิ่งถ้าเป็น Play Money ที่ไม่มีค่าใดๆ พวกนี้หมอบยากมากครับ 55 ผมก็เคยอยู่จุดนี้มาก่อน มันคันจริงๆ อยากดูไพ่คู่ต่อสู้

 

โป๊กเกอร์ กับ การเทรด

Q3 – ประเด็นสำคัญในโพสนี้ ผมเห็นว่า การเก็งกำไรหุ้น มันไม่เหมือนกับการเล่น POKER เลย แต่ก็ขึ้นกับคนเล่นหุ้นด้วยว่าจะทำตัวให้เสี่ยงเหมือนการเล่น Poker หรือเปล่า คนที่เล่นหุ้นด้วยแนวคิดของความน่าจะเป็นแบบ POKER นั้น ผมมองว่านั่นคือการพนัน ซึ่งผมจะไม่แนะนำให้เราเล่นพนัน แต่ให้มอง Risk/Reward Ratio เป็นหลักว่า หากโอกาสได้กำไรในแต่ละเทรดสูงมากกว่าขาดทุน อย่างต่ำ 2 : 1 ขึ้นไป จึงจะถือว่าเทรดนี้น่าสนใจ หากจะดีควรเกิน 3: 1 ขึ้นไปเป็นต้น ซึ่งแตกต่างกับเกมส์เล่น POKER ที่เล่นหลายคน โอกาสชนะจะเหลือต่ำลงตามจำนวนผู้เล่น หรือโอกาสชนะในแต่ละเกมส์จะเหลือไม่ถึง 50% ( โอกาสแพ้มากกว่าชนะในแต่ละเกมส์ )

การเก็งกำไรที่ถูกต้อง เราควรเลือกเก็งกำไรเมื่อมั่นใจว่า เทรดที่เราเข้าเก็งกำไรนั้น มีโอกาสได้มากกว่าเสีย หรือ Reward : Risk มาก เราสามารถเลือกจะเข้าเทรดหรือไม่เทรดก็ได้ หากภาพยังคลุมเคลือหรือเรายังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าจะชนะ ซึ่งแตกต่างกับ Poker แน่นอน

A3 – ไม่ต้องห่วงครัช เรื่องนี้ก็เหมือนกันอีก Risk Reward Ratio เผลอๆ จะง่ายกว่าในตลาดหุ้นอีก เพราะหน้าไพ่มีแค่ 52 ใบ ไม่เหมือนตลาดหุ้นที่ปัจจัยอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ผมจะยกตัวอย่างการคำนวณให้ดู

จากรูปสมมติว่าเราถือไพ่ 57 หน้าหัวใจ คู่ต่อสู้คนเดียว
ไพ่กองกลางมีหัวใจอีก 2 ใบ
ไพ่แบบนี้เรียกว่า Flush Draw (ถ้าได้หัวใจอีก 1 ใบจะทำให้เราได้ฟลัช ฟลัชถือเป็นไพ่ที่สูงมาก ถ้าได้ทีนี่หวานเลย ฮ่าๆ)
เห็นที่ผมวงมั้ยครับ แปลว่า โอกาสที่จะได้ Flush หลังจากเปิดไพ่อีกใบ คือ 19%
% ที่ได้มายังไง คิดจาก ไพ่ทั้งหมดแต่ละหน้ามี 13 ใบ
เรามีหัวใจแล้ว 4 ตั้งสมมติฐานว่าไม่น่าจะมีไพ่หัวใจในมือคู่ต่อสู้ แน่นอนว่าถ้าคู่ต่อสู้เยอะขึ้น %ที่คนอื่นจะมีหัวใจอยู่ในมือจะมากขึ้น และมีโอกาสที่จะมีสักคนจะมี Flush Draw ที่ดีกว่าของเรา แต่อันนี้สู้กันแค่คนเดียว โอกาสน้อยมาก เพราะงั้นคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน
เพราะงั้นในกองจะมีหัวใจอยู่ 9 ใบ
โอกาสที่ไพ่ใบต่อไปจะออกมาเป็นหัวใจ คือ 9/46 = 19.5%
(9 คือไพ่หัวใจที่อยู่ในกอง 46 คือไพ่ที่เรามองไม่เห็น เราเห็นแค่สองใบของเรา กับกองกลางสี่ใบ)

พอเราได้ % คร่าวๆมา (ถ้าสู้กันแบบนี้ โอกาสที่จะชนะน่าจะมีแค่เราติดฟลัช เพราะถ้าออก 5 หรือ 7 ไม่น่าจะสู้ได้ คู่ต่อสู้น่าจะมีไพ่สูงกว่า) เราก็เอามาประเมินสถานการณ์ต่อ
สมมติว่า ตรงกลางมีเงินอยู่ 200$ ถ้าคู่ต่อสู้เกเพิ่มมา 100$ คำถามคือจะหมอบ หรือไปต่อ??

ดูจาก เราต้องจ่าย 100 เพื่อเดิมพันกับเงิน 300 (200 ตรงกลาง กับอีก 100 ที่คู่ต่อสู้เกมา) คิดเป็น Odd 1:3
แล้วมาดู % ที่เราจะชนะคือประมาณ 20% คิดเป็น 1:4 (เปิด 5 รอบเราติด 1 รอบโดยเฉลี่ย) ดูแล้วไม่คุ้ม หมอบดีกว่าแบบนี้ ถ้าฝืนเล่น จะไม่ดีกับ Expected Value ในระยะยาว (หรือเจ๊งนั่นเอง)

วงการนี้ คนเก่งๆ เยอะไม่แพ้วงการหุ้นเลยครับ
ผมเคยอ่านหนังสือ Poker ของนัก Poker ฝรั่งที่จบสายคณิตศาสตร์ กลยุทธ์ต่างๆ มีคณิตศาสตร์รองรับหมด ซับซ้อนมากจริงๆ

ตัวอย่างคณิตศาสตร์ที่จำเป็นในการเล่น
อย่าง % ง่ายๆ คือ ถ้าเปิดไพ่กองกลางมา 3 ใบ โอกาสที่เราจะติดไพ่เล็กหรือใหญ่จะประมาณ 1/3 หรือ 33%
แรกๆ ข้อมูลนี้มีค่ามากครับ เพราะคนไม่ค่อยรู้ ทำให้คนเกคนแรกได้เปรียบ มีโอกาสกิน 66% ไม่ว่าเราจะมีไพ่หรือไม่ แค่เกออกไป เพราะคู่ต่อสู้จะติดไพ่แค่ 33%
แต่หลังๆ คนรู้แล้ว มันเลยเริ่มจะดุเดือด เริ่มไม่ยอมหมอบง่ายๆกันแล้ว

อีกตัวอย่าง ถ้าเราเจอคน Raise Preflop (ก่อนเปิดสามใบ) สามตาติด เราจะรู้ได้ไงว่าไอ้หมอนี่มันมายังไง
มันจะโชคดีได้ไพ่ดีสามตาติด หรือมันแค่เป็น Aggressive Player
ตรงนี้ก็ใช้คณิตศาสตร์ช่วยได้
เช่น ถ้าเรานิยามไพ่ 15% ของทั้งหมดว่าเป็นไพ่ที่ดี (15% นี่ถือว่าค่อนข้างกว้างแล้ว เริ่มจะมีไพ่ไม่ดีปนเข้ามาบ้างแล้ว)
โอกาสที่จะได้ไพ่ดี สามตาติดคือ 15%^3 = .05%
ในแง่ความน่าจะเป็น เรารู้แล้วว่าไอ้นี่มัน Aggressive ใส่เราแน่ๆ เพราะงั้นต้องตอบโต้ด้วยการ Reraise ครับ

 

#GM

แสดงความเห็น